สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (21-25 สิงหาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (21-25 สิงหาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
21 สิงหาคม 2566
พรรคเพื่อไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ 11 พรรคการเมือง 314 เสียง
นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคการเมือง ร่วมจัดตั้งรัฐบาล รวม 11 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทยและพรรคใหม่ แถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งหมด 314 เสียง
นายแพทย์ ชลน่าน อ่านแถลงการณ์การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยจะไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล และจะสนับสนุนให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) และทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังบรรลุข้อตกลงร่วมกันจะนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ ไปปฏิบัติเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ทั้งนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล นโยบายที่ดินทำกิน การเกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ การขึ้นค่าแรง 600 บาท ภายในปี 2570 นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท การสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายใต้ นโยบายกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยคงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ พร้อมถึงจะนำนโยบายของทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมารวมกันดำเนินการเพื่อเป็นนโยบายรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภาต่อไป และยังให้ความมั่นใจด้วยว่า ภายใต้การนำรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่จะมีพรรคการเมืองในขั้วอำนาจเดิมร่วมรัฐบาลด้วย แต่ทุกพรรค ยืนยันว่าจะร่วมกันทำงานกับพรรคเพื่อไทยอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน อีกทั้งจะใช้โอกาสนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความรัก ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติต่อไป สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศและประชาชนต่อไป ดังนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงขอเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภามาร่วมกันผลักดันวาระของประเทศเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งว่า พรรคเพื่อไทยจะทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการ รวม 9 ตำแหน่ง พรรคภูมิใจไทย ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และช่วยว่าการ 4 ตำแหน่ง พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ พรรคละ 2 กระทรวง และช่วยว่าการ พรรคละ 2 ตำแหน่ง พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคประชาชาติ จะทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ พรรคละ 1 กระทรวง
22 สิงหาคม 2566
ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางบรรยากาศการรอต้อนรับของมวลชน
บรรยากาศในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศไทยและออกมาจากอาคารผู้โดยสาร อากาศยานส่วนบุคคล (MJETS) และโบกมือทักทายมวลชนที่มารอต้อนรับ พร้อมครอบครัว
ขณะที่มวลชนคนเสื้อแดงใช้เครื่องขยายเสียง นำมวลชนทุกเพศทุกวัยโห่ร้องเรียกชื่อนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมตะโกนให้กำลังใจว่า "เรารักทักษิณ" เพื่อเป็นการต้อนรับและให้กำลังใจนายทักษิณ ชินวัตร ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินการทางกฎหมาย
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกทักษิณ 10 ปี ติดคุกจริง 8 ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอ่านคำพิพากษาใน 3 คดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายทักษิณรับว่าเป็นจำเลยในทั้ง 3 คดีคือ คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี คดีที่ 2 คดีทุจริตโครงการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเลขท้าย 2 ตัวและเลขท้าย 3 ตัวของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ส่วนคดีที่ 3 คดีสัมปทานหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นจำกัด ลงโทษจำคุก 5 ปี พิพากษาจำคุกทั้ง 3 คดีรวม 10 ปี และศาลได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในแต่ละคดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากใน 2 คดีแรกไม่ได้นับโทษต่อกัน จึงเหลือจำคุกจริง 3 ปี ใน 2 คดีแรก เมื่อรวมกับโทษในคดีที่ 3 ที่พิพากษาจำคุก 5 ปีและให้นับโทษต่อกัน อดีตนายกรัฐมนตรีจึงจำคุกจริงรวม 8 ปี
กรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงถึงการนำตัวนายทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่เรือนจำ
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงถึงการนำตัวอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งเบื้องต้นได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบต่างๆ ของทางเรือนจำอย่างครบถ้วน โดยกรมราชทัณฑ์ได้ดูแลเรื่องความปลอดภัยของนายทักษิณ ในเรื่องอาหาร น้ำดื่มและการขอเข้าเยี่ยม ทั้งการจัดสถานที่เข้าเยี่ยมสำหรับญาติและคนรู้จักให้เหมาะสม โดยจะต้องมีการกักตัวก่อน 10 วัน ซึ่ง 5 วันแรกเป็นการกักตัวแบบเข้มข้น ให้อยู่เฉพาะภายในห้องขัง ผู้ที่เข้าเยี่ยมได้มีแค่ทนายความตามกฎหมายเท่านั้น หลังจากวันที่ 5 ญาติจะเข้าเยี่ยมได้ผ่านทาง Video Conference และหลังจากผ่านพ้นช่วงกักตัว 10 วันญาติขอพบได้ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ภายในเวลาราชการ รวมถึงการดูแลอย่างเข้มงวดในเรื่องของสุขภาพ ซึ่งนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ระบุว่า ต้องให้ความสำคัญด้านสุขภาพของนายทักษิณเป็นพิเศษ มีการแยกคุมตัวไว้ที่แดนพยาบาล หรือแดน 7 ในลักษณะการแยกขังเดี่ยว และมีแพทย์พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนักโทษมีอายุมาก (74 ปี) เป็นกลุ่มเปราะบาง 608 และมีโรคประจำตัว ซึ่งเคยมีประวัติการรักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเคยเป็นปอดอักเสบรุนแรงหลังจากติดโควิด มีความดันโลหิตสูง กระดูกสันหลังเสื่อม การทรงตัวค่อนข้างไม่ปกติ ทางกรมจึงให้ความสำคัญด้านสุขภาพอนามัยเป็นหลัก
ด้านการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า สามารถยื่นฎีกาได้เลยทันที โดยหลักการจะมีการยื่น 2 ประเภทคือ แบบฎีกาเฉพาะราย และแบบฎีกาทั่วไป ซึ่งกรณีนายทักษิณเป็นการยื่นขออภัยโทษแบบเฉพาะราย อาจใช้ระยะเวลาการดำเนินการเรื่องเอกสารประมาณ 1-2 เดือน ก่อนที่เรื่องจะถูกส่งไปถึงสำนักองคมนตรี ส่วนผลของการฎีกาอยู่ที่ดุลพินิจไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นโรคเฉพาะทางที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่สามารถให้การรักษาได้ จะมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นต่อหรือไม่นั้น นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่ยังคงอยู่ในการพิจารณาด้านสุขภาพของนายทักษิณทุกชั่วโมงในระหว่างกักตัว 10 วันนี้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะมีการอัปเดตในด้านความชัดเจนต่อไป
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีมติให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ในวันนี้ (22 ส.ค.66) โดยนายแพทย์ ชลน่าน สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีผู้เสนอรายชื่ออื่นเพิ่มเติม และเมื่อที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ตามกรอบเวลารวม 5 ชั่วโมงแล้ว
นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายสรุปและตอบข้อซักถามของสมาชิก ยืนยันว่า นายเศรษฐา มีคุณสมบัติครบถ้วนและขอเสียงสนับสนุนจากที่ประชุมให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนของความเห็นต่างและสลายความขัดแย้งนำพาประเทศเดินหน้าต่อไป
จากนั้น เป็นการลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ โดยการลงคะแนนแบบเปิดเผย ด้วยการขานชื่อสมาชิกรัฐสภาเรียงตามลำดับอักษร ซึ่งผลการลงมติปรากฎว่า ที่ประชุมรัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ด้วยคะแนน 482 เสียงต่อ 165 เสียง และงดออกเสียง 81 เสียง ซึ่งมีคะแนนเสียงเกินเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 374 เสียงของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ทั้งหมด 747 คน
โดยขั้นตอนจากนี้ ประธานรัฐสภาจะนำรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการลงมติเกิดเหตุ นายอานุภาพ ลิขิตอำนวยชัย สส.สมุทรสงคราม พรรคก้าวไกล หมดสติภายในห้องประชุม ทำให้ประธานการประชุมต้องขอความร่วมมือสื่อมวลชนและช่างภาพในห้องประชุมงดถ่ายภาพและห้ามเผยแพร่ภาพดังกล่าว ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล
23 สิงหาคม 2566
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และเมื่อเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมา ณ อาคารที่ทำการของพรรคเพื่อไทย มีพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยนางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย เพื่อมอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับอ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ความว่า
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ลงมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา จึงแต่งตั้งให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้สนองรับราชโองการนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร
จากนั้น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการวางที่โต๊ะหมู่บูชา ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นนายเศรษฐาได้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระผมตำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นสุขพระสิริมงคลแก่ชีวิตและขวัญกำลังใจอันสูงสุดแก่กระผมและครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้ กระผมมีความปลื้มปิติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นและขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ทั้งจะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ทั้งนี้มีแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เช่น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นต้น เข้าร่วมพิธีด้วย
แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจยืนยันรักษาทักษิณตามสิทธิ์ไม่มีสิทธิพิเศษ สั่งงดเยี่ยมทุกกรณี
พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวถึงกรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวด่วนกลางดึกที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยรถของราชทัณฑ์ว่า กรณีดังกล่าวตำรวจไม่ได้รับการประสานล่วงหน้ามาก่อน แต่นายทักษิณเกิดอาการแน่นหน้าอกกระทันหัน ค่าออกซิเจนต่ำ และค่าความดันโลหิตสูงมาก ทีมแพทย์ราชทัณฑ์พยายามรักษาแต่ทำได้ไม่มากจึงลงความเห็นให้ส่งตัวด่วนมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่มีแพทย์เฉพาะทางและความพร้อมมากกว่า อีกทั้งทาง รพ.ตำรวจได้ทำบันมึกข้อตกลงเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วยอาการหนักร่วมกันมากกว่า 30 ปี
ส่วนอาการของนายทักษิณเช้านี้ นายทักษิณสื่อสารได้แต่ยังเหนื่อยหอบ แพทย์ต้องเฝ้าระวังโดยสั่งงดเยี่ยมทุกกรณี โดยอาการของนายทักษิณขณะถูกส่งตัวมานั้นมีความดันโลหิตสูงถึง 170 มิลลิเมตรปรอท
จึงได้นำตัวไปชั้นที่ 14 ทันที และยืนยันว่าไม่ใช่ห้องพิเศษ เป็นห้องที่ดัดแปลงจากห้องกักตัวผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งบางห้องในชั้นดังกล่าวเครื่องปรับอากาศใช้งานไม่ได้ และที่ผ่านมาทางกรมราชทัณฑ์ก็ได้ส่งตัวผู้ป่วยในลักษณะเดียวกันเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจำนวนมากเช่นกัน จึงไม่มีการให้สิทธิพิเศษใดๆ
ส่วนแนวทางการรักษานั้น ขณะนี้ได้ตั้งทีมแพทย์ 6 ท่าน ประกอบด้วยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านหัวใจ ปอด และโควิด-19 ส่วนการดูแลความปลอดภัยระหว่างรักษา จะมีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คอยดูแล 3 คน ส่วนพื้นที่ของโรงพยาบบาลนั้นตำรวจนครบาล (สน.)ปทุมวัน จะเป็นผู้ดูแลความปลอดภัย แต่หากญาติต้องการย้ายตัวไปโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจกรมราชทัณฑ์
พลตำรวจโท โสภณรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายทักษิณไม่ได้ใส่เครื่องพันธนาการ เนื่องจากตามกฎหมายผู้ป่วยต้องโทษที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ไม่ต้องใส่เครื่องพันธนาการ เพราะจะเป็นอุปสรรคในการรักษา
24 สิงหาคม 2566
นายเศรษฐา ทวีสิน เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ
ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดยช่วงเช้านี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ ที่ทำเนียบตามปกติ แม้ไม่มีวาระงาน เนื่องจากนายเศรษฐายังไม่ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณและยังไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางมาพบพลเอก ประยุทธ์ เป็นการส่วนตัว ที่ตึกไทยคู่ฟ้า คาดว่ามากราบสวัสดีผู้ใหญ่และขอรับคำแนะนำเพื่อการทำงานเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีต่อไป
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยได้ให้นายเศรษฐา ทวีสิน ดูแลสถาบัน ประเทศชาติและประชาชน ไม่แบ่งแยกสี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสภากลาโหม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมถ่ายภาพกับสื่อมวลชน พร้อมกล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน เข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาลวันนี้ เป็นการพบกันในวาระที่สมควร หลังได้ติดต่อขอพบเพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน พร้อมฝากให้ดูแลทุกอย่าง รวมถึงเรื่องสถาบัน พร้อมส่งมอบงานและแนวทางข้อมูลต่างๆ เพื่อให้นำไปปฏิบัติในการบริหารราชการต่อไป
พลเอก ประยุทธ์ ยังกล่าวว่า เรื่องการสลายขั้วและความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรแบ่งแยกสี เพราะวันนี้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า มีรัฐบาลใหม่มาบริหารตามขั้นตอน ขออย่าไปสร้างประเด็น หรือความขัดแย้ง และอย่ามองว่าที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะให้สมาชิกวุฒิสภาโหวตสนับสนุน ส่วนจะฝากถึงรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่อย่างไร ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็น ก่อนเดินขึ้นรถ พร้อมโบกมือให้สื่อมวลชนและย้ำว่า ยังไม่ได้ไปไหน วันนี้ข้าราชการเกษียณอายุ 60 ปี ส่วนตนเองจะเกษียณ 70 ปี หลังจากนี้จะไปพักผ่อน
มท.1 กำชับส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและน้ำเสีย การคัดแยกขยะ ปราบปรามยาเสพติด
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาล และภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (เดือนสิงหาคม 2566) ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เขตหลักสี่ และได้มอบนโยบายให้ราชการส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและน้ำเสีย เนื่องจากเป็นหน้าที่โดยตรง โดยเฉพาะการคัดแยกขยะเศษอาหาร ตามหลัก 3R ซึ่งขยะที่น่าเป็นห่วงคือ ขยะที่ไม่ได้อยู่ในถัง โดยเฉพาะ micro plastic ที่อาจสะสมในตัวสัตว์ทะเลและเป็นพิษต่อผู้บริโภค รวมถึงการให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติตามแนวทางเพื่อให้ราชการส่วนภูมิภาคดำเนินการเพื่อขยายผลการบริหารจัดการขยะไปสู่การขาย carbon credit การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานและเงินอีกด้วย
นอกจากนี้ มอบนโยบายเรื่องยาเสพติด โดยเน้นย้ำถึงการลดผู้เสพไม่ให้มีผู้เสพรายใหม่ โดยร่วมมือกับสถานศึกษา ในการฟื้นฟูและติดตามผู้เสพที่มีพฤติกรรมกลับไปเสพยาซ้ำ เนื่องจาก 70% มักจะกลับไปเสพอีก ในส่วนของผู้ขายก็ต้องดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้น
25 สิงหาคม 2566
เศรษฐา เดินหน้าแก้ปัญหาด้านการท่องเที่ยว เร่งเสริมศักยภาพท่าอากาศยาน รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปรับฟังปัญหาและอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องความไม่เพียงพอ ในการให้บริการสนามบิน สำหรับนักเที่ยว โดยมีนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ให้การต้อนรับและให้ข้อมูลด้านการบริการนักท่องเที่ยว พร้อมสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
จากนั้น นายเศรษฐา เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปจังหวัดภูเก็ต เพื่อพบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานภูเก็ต พูดคุยเรื่องการขยายสนามบินภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยว จากนั้นจะไปพบกับผู้ประกอบการภาคเอกชนจังหวัดภูเก็ต ณ โรงแรมรามาดา พลาซ่า เจ้าฟ้า ในประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดภูเก็ต ก่อนที่ช่วงเย็นไปพบปะผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว ณ ตลาดเมืองเก่าภูเก็ต และช่วงค่ำจะพบปะผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว ณ ถนนบางลา หาดป่าตอง ประเด็นปัญหาและข้อจำกัดในการเปิดสถานประกอบการบันเทิงในพื้นที่หาดป่าตอง
นายกรัฐมนตรี ถอนวาระการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่
พลตำรวจโท อาชน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังว่า เนื่องจากในที่ประชุมวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการประชุม ได้พิจารณาถอนวาระเรื่องการพิจารณาการคัดเลือกแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ที่จะต้องให้คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดใหม่ มีการถวายสัตย์ปฏิญาณให้เรียบร้อยก่อนจึงจะมีการแต่งตั้งต่อไป
ส่วนการประชุม ก.ตร.ในวาระอื่นๆ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังคงเป็นประธานในการประชุมและดำเนินการพิจารณาวาระอื่นๆ ต่อไป
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
21 สิงหาคม 2566
กระทรวงพาณิชย์ กำชับผู้ผลิตนม ปรับเพิ่มผลิตและจำหน่ายให้ทั่วถึง ยืนยัน ไม่มีปัญหาขาดแคลน
ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน ได้หารือกับผู้ผลิตนมสดพาสเจอร์ไรส์รายใหญ่ โดยกำชับให้บริหารจัดการการผลิตและจำหน่าย ให้สามารถกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึงรวมทั้งการปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตนมสดพาสเจอร์ไรส์ โดยเฉพาะนมจืดสูตรพื้นฐานให้มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในการบริโภคภาคครัวเรือนและการนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ หรือใช้เป็นส่วนผสมของอาหารและขนมหวานต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นมสดยูเอชที ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 55 ของการบริโภคนมสดทั้งหมด ยังคงมีการผลิตและจำหน่ายตามปกติ นมสดจึงไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเพื่อส่งเสริมการขายและกระตุ้นการบริโภคตามห้างค้าส่งค้าปลีกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า กรณีที่ผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ในท้องตลาดมีปริมาณที่ลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงชะลอของการรีดนม หรือพักเต้า (Dry cow) ซึ่งอยู่ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ของทุกปี และยังมีการเลี้ยงโคนมที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กรมการค้าภายใน ได้หารือกับห้างค้าส่งค้าปลีกและห้างท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมขอให้เติมสินค้าบนชั้นวางอย่างสม่ำเสมอ โดยจะติดตามสถานการณ์ผลิตและจำหน่ายนมและผลิตภัณฑ์นมอย่างใกล้ชิดร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ท่าอากาศยานดอนเมือง เตรียมพร้อมรับการกลับไทยของ "ทักษิณ" พร้อมจัดระเบียบสื่อมวลชน - รักษาความปลอดภัย
ท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แจ้งว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น เพื่อให้ภารกิจโดยรวมของท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเกิดความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงไม่กระทบกับการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการโดยทั่วไป ท่าอากาศยานดอนเมือง จึงได้จัดพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนและพื้นที่จอดรถยนต์ไว้รองรับ รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอำนวยความสะดวกในการเข้าพื้นที่
ทั้งนี้ ได้มีการเปิดให้สื่อมวลชน ที่ต้องการเดินทางมาทำข่าวในครั้งนี้ต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์จะเข้าทำข่าวล่วงหน้า ภายในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 21 สิงหาคม 2566 โดยสงวนสิทธิ์ให้สื่อมวลชนสำนักข่าวละไม่เกิน 4 ท่าน สามารถมารับบัตรเข้าพื้นที่ได้ที่จุดลงทะเบียน ในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นตันไป ณ บริเวณอาคารคลังสินค้าที่ 4 สามารถใช้ประตูทางเข้าช่องทาง 9 สถานีบริการเชื้อเพลิง ปตท. พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้สื่อข่าวมาแสดง ณ จุดลงทะเบียนด้วย
ปรับเวลาเปิดเส้นทางสัญจรภายในอุโมงค์ทางลอดแยกพัฒนาการ 05.00 – 22.00 น.
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งว่า ตามที่ได้มีการประชาสัมพันธ์การเปิดเส้นทางสัญจรภายในอุโมงค์ทางลอดแยกพัฒนาการ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้แล้วนั้น ล่าสุด บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง รวมถึงงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดแยกพัฒนาการ รายงาน ว่าปัจจุบันบริษัทอีสเทิร์น ยังมีความจำเป็นต้องเก็บความเรียบร้อยของงานก่อสร้างในขั้นตอนสุดท้าย อาทิ งานเครื่องหมายจราจร รวมถึงการติดตั้งไฟสัญญาณจราจรต่างๆ การปรับแต่งระบบไฟฟ้าส่องสว่างและระบบระบายน้ำภายในอุโมงค์ พร้อมทั้งการทดสอบระบบให้พร้อมรองรับสถานการณ์ฝนตกหนัก เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังภายในอุโมงค์ทางลอด ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องแจ้งขอปรับเวลาการเปิดเส้นทางสัญจรภายในอุโมงค์ทางลอดแยกพัฒนาการ จากเดิมที่จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเปิดเส้นทางสัญจรตั้งแต่เวลา 05.00 น.– 22.00 น. ในระหว่างวันจันทร์ที่ 21 - วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2566 เพื่อเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะเริ่มเปิดเส้นทางสัญจรภายในอุโมงค์ทางลอดแยกพัฒนาการ ตลอด 24 ชั่วโมง ต่อไป
22 สิงหาคม 2566
รฟท.เดินหน้าพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รองรับปริมาณการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่ปัจจุบันให้บริการขบวนรถโดยสารทางไกลทุกสายของไทย รวมถึงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยภายในเดือนกันยายนนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย จะนำเสนอคณะกรรมการการรถไฟฯ (บอร์ด รฟท.) ถึงผลการประกวดราคาการใช้ประโยชน์พื้นที่ บริเวณสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) และสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี จำนวน 4 สัญญา เพื่อลงนามในสัญญากับผู้รับงานที่ผ่านการประมูลคือ บริษัท เปรม กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ในสัญญาโครงการยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ บริเวณอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวนพื้นที่ 47,675 ตารางเมตร (ตร.ม.)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา รฟท.ได้เปิดข้อเสนอด้านผลตอบแทนเรียบร้อยแล้ว พบว่า บริษัท เปรม กรุ๊ปฯ เสนอผลตอบแทนมาสูงกว่าที่ รฟท.ตั้งไว้ ขั้นตอนจากนี้ รฟท.จะตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดผลตอบแทนและเชิญบริษัท เปรม กรุ๊ปฯ มาเจรจา
สำหรับ 3 สัญญาที่เหลือ ประกอบด้วยสัญญาโครงการยื่นข้อเสนอเพื่อใช้สิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวนพื้นที่ 2,303 ตร.ม. สัญญาโครงการยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ บริเวณอาคารสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี จำนวนพื้นที่ 3,759 ตร.ม. และสัญญาโครงการยื่นข้อเสนอเพื่อใช้สิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี จำนวนพื้นที่ 2,080 ตร.ม. การรถไฟฯ กำลังพิจารณาเพื่อเปิดประกวดราคาใหม่ หลังจากการลงนามในสัญญาสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เสร็จสิ้นแล้ว โดยการเปิดประกวดราคาครั้งใหม่ทั้ง 3 สัญญานี้ รฟท.จะไม่มีการปรับแก้เงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) และหากไม่มีเอกชนเข้ายื่นข้อเสนออีก รฟท.จะพิจารณาให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ รฟท.ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินงานด้านบริหารทรัพย์สินของ รฟท. มาเป็นผู้รับงานพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว
ชะลอปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัชและบูรพาวิถี ออกไปอีก 6 เดือน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงนามเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 กำหนดให้ทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ชะลอการปรับค่าผ่านทางออกทั้ง 2 สายทางออกไปอีก 6 เดือน หรือไปมีผลวันที่ 1 มีนาคม 2567 จากเดิมต้องปรับขึ้นในวันที่ 1 กันยายน 2566 เพื่อลดภาระใช้จ่ายของประชาชน รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทางด้านขนส่ง โดยการชะลอการปรับค่าผ่านทางออกไปอีก 6 เดือน จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน คิดเป็นเงินกว่า 233 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราค่าผ่านทางใหม่ ที่จะมีผลในวันที่ 1 มีนาคม 2567 อัตราค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัช รถ 4 ล้อ 45 บาท รถ 6-10 ล้อ 65 บาท รถมากกว่า 10 ล้อ 90 บาท ยกเว้นด่านฯ รามอินทรา 1 และด่านฯ สุขาภิบาล 5-2 รถ 4 ล้อ 20 บาท รถ 6-10 ล้อ 35 บาท รถมากกว่า 10 ล้อ 45 บาท
ส่วนอัตราค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี รถ 4 ล้อ กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะใช้อัตราค่าผ่านทางเดิม แต่กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 5 บาท สูงสุดไม่เกิน 10 บาท โดยคิดตามระยะทาง รถ 6-10 ล้อ กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะปรับขึ้น 5 บาท แต่กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 บาท คิดตามระยะทาง รถมากกว่า 10 ล้อ กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะปรับขึ้น 5 บาท แต่กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 25 บาท โดยคิดตามระยะทาง
23 สิงหาคม 2566
ภาคตลาดทุน หวังรัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อมีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ในระยะสั้นถือเป็นพัฒนาการที่ดีสำหรับตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจ ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ว่ากลไกการทำงานของภาครัฐสามารถเดินหน้าต่อได้ เช่น การจัดทำงบประมาณ การบริหารราชการแผ่นดินและหวังว่ารัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารจะสร้างนโยบายที่มุ่งเน้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการที่สนับสนุนการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไป สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการคือ การสร้างเสถียรภาพในการทำงานและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเรื่องนิติธรรม การมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง การรักษาสัจจะ หรือความตรงไปตรงมา ความโปร่งใส ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานในเรื่องการปกครอง การอยู่ร่วมกันของสังคม ซึ่งรัฐบาลต้องหาทางช่วยกันปรับปรุงแก้ไขเพื่อความมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน
สำหรับนโยบายประชานิยม มองว่าเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะนโยบายที่ดีสำหรับประชาชน แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ระยะยาวด้วย ซึ่งภาพรวมทั้งสถานการณ์ในประเทศและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ในเวลานี้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ควรให้น้ำหนักไปที่การรักษาความเชื่อมั่น หรือการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงที่มีเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน นักลงทุนจะกังวลเรื่องความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่น
ททท. เดินหน้าส่งเสริมการตลาดคู่รักฮ่องกงแต่งงานในไทย กระตุ้นท่องเที่ยว
นางพรมนต์ จันทร์ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานฮ่องกง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้วางแผนส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มคู่รักแต่งงาน ให้เดินทางเข้ามาแต่งงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มดังกล่าว เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นิยมความสะดวกสบายและยินดีใช้จ่ายเพื่อจัดงานแต่งที่ง่ายและคล่องตัว ซึ่งทำให้ไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีสถานที่จัดงานหลากหลายรูปแบบและสามารถดูฤกษ์การแต่งงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากการจัดงานแต่งในฮ่องกง ที่ต้องลงทะเบียนและจองคิวโรงแรมนานหลายเดือน
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง ที่เดินทางเข้าไทยช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. - ก.ค. 66) พบว่า มีจำนวน 454,008 คน โดย ททท.วางเป้าหมายนักท่องเที่ยวฮ่องกงเดินทางเข้าไทยปีนี้ไว้ที่ 700,000 คน และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000 บาทต่อคนต่อวัน หรือ 30,000 บาทต่อคนต่อทริป ส่วนปี 2567 ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวฮ่องกงขึ้นอีก ร้อยละ 10 และจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงให้ถึง 1 ล้านคน
อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวฮ่องกงส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่เดินทางมาเที่ยวไทยซ้ำถึงร้อยละ 80 จึงจำเป็นต้องดึงตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้ามา เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ททท.จะเน้นการทำงานร่วมกับสายการบินให้มากขึ้น เพื่อจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวไทย
24 สิงหาคม 2566
พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยว เร่งเสริมกลยุทธ์ยกระดับที่พัก อาหาร รับไฮซีซั่น
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ร่วมกับองค์กรธุรกิจและบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเทคโนโลยี ด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยงและการบริการนานาชาติ พร้อมกับพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นแรงหนุนสำคัญของการท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและแข่งขันกับนานาชาติได้ ซึ่งในปีนี้มีผู้ผลิตสินค้าและบริการระดับพรีเมียมร่วมจัดแสดงงานกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 20 ประเทศ และยังได้จัดกิจกรรมสัมมนาพิเศษขึ้นในหัวข้อ โอกาสในการเติบโตของธุรกิจอาหารออร์แกนิกและความเป็นคลังอาหารของประเทศไทย เพื่อให้ความรู้และนำเสนอถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยจะสามารถพัฒนาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ ค้าปลีกและธุรกิจบริการ ให้เป็นกำลังสำคัญในการให้บริการนักท่องเที่ยว คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานสูงถึง 28,000 คน ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันนี้-26 สิงหาคมนี้ (2566) เวลา 10.00 น.-18.00 น. ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ททท. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ (2566)ไว้ที่ 25-30 ล้านคน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยแล้วถึง 15,391,104 คน เติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 400 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (2565) สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวถึง 663,862 ล้านบาท โดยเป็นค่าที่พักร้อยละ 29 และค่าใช้จ่ายด้านอาหารร้อยละ 20
ก.ล.ต. ขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจฯ ร่วมป้องปรามการแอบอ้างชื่อเพื่อหลอกลวงประชาชนให้ลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจและผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัทจดทะเบียนและองค์กรต่างๆ ให้ร่วมกันติดตามสอดส่องดูแลการถูกแอบอ้างชื่อเพื่อหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุน หลังพบพฤติกรรมหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยแอบอ้างชื่อ ตราสัญลักษณ์ ภาพผู้บริหาร หรือภาพบุคลากรของ ก.ล.ต. และผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน เช่น บริษัทจดทะเบียน สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์จำนวนมาก เพื่อลวงให้เข้าใจและแอบอ้างว่า การชักชวนลงทุนนั้นผ่านการรับรองจาก ก.ล.ต. หรือหน่วยงานข้างต้นแล้ว ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก
หากพบการกระทำดังกล่าว ขอให้แจ้งเตือนผู้ลงทุนและป้องปรามการหลอกลวงดังกล่าว เช่น แจ้งเตือนผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน แจ้งเตือนในช่องทางที่มีการแอบอ้างที่เกี่ยวข้อง แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน รวมถึงขอให้แจ้งข้อมูลดังกล่าวแก่ ก.ล.ต. โดยที่ ก.ล.ต. จะดำเนินการแจ้งเตือนประชาชน หรือผู้ลงทุนเพื่อป้องกันความเสียหายต่อไป
พร้อมขอย้ำเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเมื่อถูกชักชวนให้ลงทุน และตรวจสอบข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ด้วยตนเองที่แอปพลิเคชัน SEC Check First และเว็บไซต์ www.sec.or.th/licensecheck หากมีข้อสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207
25 สิงหาคม 2566
ธ.ก.ส. มุ่งแก้หนี้ครัวเรือนยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและการปรับทิศทางสู่อุตสาหกรรมเกษตร โดยการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนในภาคการเกษตร สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กลุ่มเกษตรอย่างมั่นคง ผ่านมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในกลุ่มหนี้ที่มีปัญหา โดยใช้ฐานข้อมูลและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูล การจัดกลุ่มลูกค้า การพัฒนาเครื่องมือและช่องทางต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น เช่น การชําระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และ Banking Agent เป็นต้น การจัดทํามาตรการมีมาก จ่ายมาก มีน้อยจ่ายน้อย เพื่อรักษาวินัยในการชําระหนี้ ซึ่งภาพรวมจากการใช้มาตรการต่างๆ ทําให้อัตราหนี้ที่มีปัญหาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 สามารถลด NPL ได้ 5,105 ล้านบาท มีเกษตรกรที่ได้รับการแก้ไขปัญหาหนี้ไปแล้ว จํานวน 184,697 ราย
ขณะเดียวกันยังจูงใจลูกค้าที่ชําระหนี้ด้วยโครงการชําระดีมีโชค โดยลูกค้าที่ชําระหนี้ตรงตามกําหนดเวลา ธนาคารจะนําจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระจริงทุกๆ1,000 บาท มอบเป็นสิทธิประโยชน์ในการชิงโชค รางวัลรวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท พร้อมให้คําปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ทั้งหนี้ในและนอกระบบผ่านโครงการมีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส. โดยสามารถแก้ไข ปัญหาหนี้นอกระบบให้เกษตรกรลูกค้าและบุคคลในครัวเรือนให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบของ ธ.ก.ส. ไปแล้วกว่า 710,123 ราย เป็นเงินกว่า 59,000 ล้านบาท
นายฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า สําหรับผลการดําเนินงานในไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อในภาคการเกษตรไปแล้วจํานวน 74,048 ล้านบาท ขณะที่ NPL อยู่ที่ร้อยละ 8.07 โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ร้อยละ 12.95 สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กําหนด โดย ตั้งเป้าในปีบัญชี 2566 ปล่อยสินเชื่อภาคการเกษตรเติบโตเพิ่มขึ้น 85,000 ล้านบาท เงินฝากเพิ่มขึ้น 12,000 ล้านบาท และลดหนี้ NPL ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.5
การลงทุนด้านอุตสาหกรรมในปี 2566 ฟื้นตัว ช่วง 6 เดือนแรกมีมูลค่าการลงทุนแล้ว กว่า 3 แสน 6 หมื่นล้านบาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ถึงการฟื้นตัวด้านอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูปและรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเดือนมกราคม – มิถุนายน 2566 มีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท สะท้อนความสำเร็จมาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะการกระตุ้นการลงทุนอุตสาหกรรม EV แบบครบวงจรของรัฐบาล
ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมีการพัฒนามากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก เนื่องจากมีห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรจากการดำเนินการในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน และจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ออกมาตรการให้เงินอุดหนุนการซื้อรถยนต์ EV เพื่อสร้างตลาดในประเทศและจะก่อให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องตามมา โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับ EV รัฐบาลดำเนินมาตรการสนับสนุนแบบครบวงจร ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโต เท่าทันประเทศอื่นในภูมิภาคและมีศักยภาพตอบโจทย์การลงทุน ตามมาตรฐานสากล
สังคม
21 สิงหาคม 2566
กบข.แนะบริการออมต่อ ทางเลือกสำหรับสมาชิกเกษียณอายุราชการ
นางศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า บริการออมต่อ เป็นทางเลือกให้สมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุราชการปีนี้และยังไม่มีแผนการใช้เงิน หรือต้องการให้ กบข. ลงทุนสร้างผลตอบแทนให้อย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกสามารถเลือกบริการออมต่อได้ตามความต้องการต่อ 4 รูปแบบคือ ออมต่อทั้งจำนวน ทยอยรับเงินเป็นงวดๆ อาทิ รายเดือน รายสามเดือน รายหกเดือน หรือรายปี ขอรับเงินบางส่วน ที่เหลือให้ กบข. บริหารต่อ และขอรับเงินบางส่วน ที่เหลือทยอยรับเงินเป็นงวดๆ ซึ่งสมาชิกสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินคืนและแจ้งความประสงค์ใช้บริการออมต่อ ผ่าน 2 ช่องทางคือ แจ้งความประสงค์ทางระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) ของกรมบัญชีกลางและแจ้งความประสงค์ผ่านหน่วยงานต้นสังกัด พร้อมกรอกแบบ กบข. รง 008/1/2555 เมื่อออมต่อแล้ว สามารถแจ้งเปลี่ยนรูปแบบการออมต่อได้ปีละ 2 ครั้ง ผ่าน My GPF Application เมนู “ออมต่อ” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook กบข. หรือ LINE กบข. @gpfcommunity หรือศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก โทร 1179
ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี เกิดรายได้กว่า 710 ล้านบาท
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยผลสำเร็จโครงการศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี ตลอดระยะเวลาที่จัดงาน ในช่วงวันที่ 12-20 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า สำหรับยอดจำหน่ายในวันสุดท้าย (20 ส.ค. 66) กว่า 111 ล้านบาท ส่งผลให้งานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี สามารถสร้างยอดจำหน่ายสินค้าในภาพรวมได้มากถึงประมาณ 710 ล้านบาท โดยเฉพาะสินค้าประเภทผ้าที่สามารถเกิดรายได้ไปกว่า 300 ล้านบาท โดยได้รับความสนใจจากทั้งประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมชมงานมากกว่า 2 แสนห้าหมื่นคน
สำหรับการจัดงาน OTOP ครั้งต่อไป กรมการพัฒนาชุมชนกำหนดจัดงาน OTOP Midyear 2023 ระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในธีม “ที่สุดแห่งภูมิปัญญา รังสรรค์จากการพัฒนา เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย” โดยภายในงานจะมีกิจกรรม Highlight ได้แก่ โซนศิลปิน OTOP ซึ่งผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจะแสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์ สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่นจากศิลปินอย่างทรงคุณค่า สำหรับแฟนพันธุ์แท้ OTOP ห้ามพลาด
22 สิงหาคม 2566
อย.พร้อมสนับสนุนการใช้สารไมทราไจนีนในพืชกระท่อม
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า พืชกระท่อมได้ถูกปลดล็อกจากการเป็นยาเสพติดแล้ว ดังนั้น การขออนุญาตจึงใช้หลักเกณฑ์เดียวกับพืชสมุนไพรชนิดอื่นๆ ทั่วไป แต่เนื่องจากปัจจุบันพืชกระท่อม ยังไม่มีหลักฐานการวิจัยในมนุษย์ถึงประสิทธิภาพและปลอดภัยที่ชัดเจน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงจัดทำคำแนะนำการพัฒนาและขออนุญาต “ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพน้ำใบกระท่อม” โดยกำหนดให้มีปริมาณสารไมทราจีนีนที่ได้รับไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งการกำหนดตัวเลขมาจากการศึกษาความเป็นพิษเรื้อรังในสัตว์ทดลองและนำมาคำนวณจนได้ขนาดสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดอันตรายต่อร่างกายของคนปกติทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกระท่อมที่นอกเหนือจากที่กำหนดในคำแนะนำฯ “ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ น้ำใบกระท่อม” โดยจะพิจารณาอนุญาตจากเอกสารหลักฐานด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ยื่นมา กรณีการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอนุญาตให้ใช้สารไมตราจีนีน ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น โดยอนุญาตไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากเป็นปริมาณที่ผู้บริโภคสามารถรับประทานได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่หากผู้ผลิตอาหารต้องการเพิ่มปริมาณการใช้เกินกว่า 0.2 มิลลิกรัมต่อวัน ต้องประเมินความปลอดภัยของอาหารก่อน โดยยื่นคำขอประเมินความปลอดภัยกับหน่วยประเมินที่ อย. ให้การยอมรับ ได้แก่ หน่วยประเมินความปลอดภัยอาหาร สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม และศูนย์ประเมินความเสี่ยงประเทศไทย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของพืชกระท่อม ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานและไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 7 วัน ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องจาก อย. โดยสังเกตฉลากต้องแสดงเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือเลขสารบบอาหาร รวมทั้งอย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอวดอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ต่อสุขภาพในทางบำบัด รักษาเป็นเท็จ เกินจริง สามารถตรวจสอบการได้รับอนุญาตได้จากเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาต หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
23 สิงหาคม 2566
อย.ย้ำ เครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีด แอมพูลไวอัล ห้ามใช้ฉีดเข้าผิวหนังอาจเกิดอันตราย
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบการโฆษณาและรีวิวในเว็บไซต์มีการนำเครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีด (แอมพูล/ไวอัล) ฉีดเข้าร่างกาย หรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์อื่นๆ ในการผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังเพื่อความสวยงาม โดยอ้างว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่าน อย. ว่า ผลิตภัณฑ์ที่จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางจะไม่มีการประเมินความปลอดภัยจากการใช้กรณีนำไปฉีด หรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากเครื่องสำอางจะใช้ทาภายนอก ดังนั้น หากนำเครื่องสำอางไปใช้ผิดวิธี หรือผิดวัตถุประสงค์อาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้
ที่ผ่านมา อย.ได้มีการเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง ที่พบว่ามีการนำไปใช้ฉีดแล้ว จำนวน 3 ฉบับ และมีการดำเนินคดีผู้โฆษณาจำนวน 12 ราย ขอเตือนทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการในคลินิกเสริมความงาม โรงพยาบาล ให้ตรวจสอบฉลากและพิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแอมพูล/ไวอัลอย่างละเอียด โดยเฉพาะที่มีการกล่าวอ้างว่า “ผ่าน อย. แล้ว” เพราะผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย. มีหลายประเภทตามระดับความเสี่ยง กรณีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย จัดว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนเป็นยา หรือเครื่องมือแพทย์เท่านั้น โดย อย.ได้จัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการจดแจ้งเป็นเครื่องสำอางที่บรรจุอยู่ในแอมพูล/ไวอัล
ผู้บริโภคที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูล หรือร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
24 สิงหาคม 2566
อย.แนะผู้บริโภคเช็กสถานะเครื่องสำอางก่อนซื้อ ทดสอบการแพ้ก่อนใช้
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงกรณีมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ออกมาโพสต์เตือนภัยลงในติ๊กต็อก หลังซื้อครีมออนไลน์มาใช้แล้วหน้าพัง บวมแดง ผื่นขึ้นเต็มหน้า ว่า การแพ้เครื่องสำอางเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ โดยการทาเครื่องสำอางปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน หรือหลังใบหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากพบความผิดปกติ เกิดผื่นแดง คัน ระคายเคือง อาจเกิดจากการแพ้สารเคมี ควรหยุดใช้ทันที และรีบล้างทำความสะอาด หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
นอกจากนี้ แนะผู้บริโภคเลือกซื้อเครื่องสำอาง จากผู้ขายที่น่าเชื่อถือ มีหลักแหล่งแน่นอน ผลิตภัณฑ์ต้องมีฉลากภาษาไทย ระบุข้อความครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ เลขที่ใบรับจดแจ้ง ชื่อเครื่องสำอาง ชื่อทางการค้า ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีใช้ ชื่อ ที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ ครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ คำเตือน การซื้อเครื่องสำอางทางออนไลน์ ควรซื้อจากร้านค้าที่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุตัวตนผู้ขาย มีระบบรับประกันการรับเปลี่ยนคืนสินค้าตรวจสอบข้อมูลให้มั่นใจก่อนซื้อว่าเป็นเครื่องสำอางที่จดแจ้งแล้วที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ” หากพบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าผิดกฎหมายแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
ผู้ประกันตนมาตรา 40 ขาดส่งเงินสมทบ ไม่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน
นางนิยดา เสนีย์มโนมัย โฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวกรณีสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้ว แต่ไม่ได้นำส่งเงินสมทบสิทธิ์จะขาดหรือไม่ว่า การขาดส่งเงินสมทบ หรือส่งเงินสมทบฟันหลอ ไม่ส่งผลให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน แต่จะมีผลกระทบต่อเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น เงินทดแทนขาดรายได้ กรณีเจ็บป่วย ที่กำหนดให้ในช่วง 4 เดือนย้อนหลังนับจากการเจ็บป่วย ต้องมีเงินสมทบย้อนหลัง 3 เดือน ดังนั้น ผู้ที่สมัครประกันสังคมมาตรา 40 แต่ขาดส่งเงินสมทบสามารถกลับมานำส่งเงินสมทบได้ต่อเนื่อง เพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขทางเลือกที่สมัคร ส่วนช่องทางการจ่ายเงินสมทบ สำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกหลากหลายช่องทาง โดยสามารถชำระได้ที่เคาน์เตอร์ 7-eleven , เคาน์เตอร์ Big C ,เคาน์เตอร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด โดยสามารถชำระล่วงหน้าได้ 12 งวดเดือน และยังสามารถแจ้งหักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคารได้อีกด้วย
โฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกันตนมาตรา 40 สามารถรับเงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีที่แพทย์สั่งให้หยุดงาน 3 วัน จะได้รับเงินทดแทนวันละ 200 บาท แต่หากนอนโรงพยาบาล จะได้รับวันละ 300 บาท ซึ่งจะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาลออกให้ ไม่นับรวมใบรับรองแพทย์จากคลินิกเอกชน หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
25 สิงหาคม 2566
ย้ำแรงงานเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ (วีซ่า E-8) จัดส่งโดยกรมการจัดหางานเท่านั้น
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีกระแสข่าวว่ามีหน่วยงาน หรือองค์กร ประกาศลงทะเบียนและรับสมัครไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลที่สาธารณรัฐเกาหลี โดยเก็บเงินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง พร้อมการันตีรายได้ 54,000 – 70,000 บาทต่อเดือน
กรมการจัดหางาน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาล (Seasonal Worker) ที่เกาหลีใต้ด้วยวีซ่า E - 8 ทางการเกาหลีใต้ระบุอย่างชัดเจนให้กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานผู้ดำเนินการเท่านั้น ห้ามหน่วยงาน องค์กร หรือบริษัทจัดหางานเข้าแทรกแซงและทำสัญญาซ้อนกับแรงงาน ขอย้ำเตือนประชาชนและบุคคลทั่วไปที่สนใจไปทำงานเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ อย่าหลงเชื่อหากมีหน่วยงาน องค์กร หรือบุคคลใดแอบอ้างว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการขอวีซ่านี้ หรือมีช่องทางพิเศษในการอำนวยความสะดวกเพื่อไปทำงานต่างประเทศได้
นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการจัดส่งแรงงานภาคเกษตรตามฤดูกาล(Seasonal Worker) กับทางการเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา เพื่อขยายตลาดแรงงานให้เกษตรกรไทยเข้าไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาล ช่วยให้เกษตรกรไทยที่ว่างงานในระหว่างรอถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม ขอแนะนำให้ผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารและประกาศรับสมัครจากกรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas โดยงานเกษตรตามฤดูกาลของเมืองจินอัน จังหวัดชอลลาบุก สาธารณรัฐเกาหลีที่ทำ MOU กับกรมการจัดหางาน คุณสมบัติเบื้องต้น ต้องเป็นคนไทย อายุระหว่าง 25 - 45 ปี ประกอบอาชีพเกษตรกรหรือมีประสบการณ์งานเกษตรอย่างน้อย 1 ปี ไม่ต้องสอบวัดระดับภาษาเกาหลี และผู้ที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์จะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับแรกในการรับสมัครปีถัดไป
สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานตาม MOU ด้านการจัดส่งแรงงานภาคเกษตรตามฤดูกาล ปี 2566 มี 4 ขั้นตอนคือ
นายจ้างฯแจ้งความต้องการจ้างแรงงาน ณ อำเภอจินอัน โดยอำเภอจินอันจะดำเนินการตรวจรับรองเอกสารจากนายจ้างและอนุญาตการจ้างแรงงานไทย
ฝ่ายแรงงานประจำ สอท. ณ กรุงโซล ตรวจรับรองเอกสารประกอบด้วยหนังสือมอบอำนาจ (Power of Attorney) หนังสือแจ้งความต้องการแรงงาน (Demand Letter) และสัญญาจ้าง (Employment Contract) เพื่อส่งให้กรมการจัดหางาน ประเทศไทย
กรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ในการรับสมัครและจัดส่งแรงงานตามฤดู จะประกาศรับสมัครคนงานจากการคัดเลือกโดยการสอบสัมภาษณ์ และทดสอบสมรรถนะ/ศักยภาพ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้นายจ้าง/ผู้แทนนายจ้างเข้าร่วมกระบวนการรับสมัคร จากนั้นจึงประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องเตรียมความพร้อมตนเอง อาทิ การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม (CID) และจัดทำหนังสือเดินทาง (Passport)
กรมการจัดหางาน ดำเนินการจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น เพื่อจัดส่งแรงงานฯ อาทิ การเตรียมเอกสารยื่นขออนุมัติวีซ่า การตรวจสุขภาพก่อนเดินทางตามที่สาธารณสุขสาธารณรัฐเกาหลีกำหนด จัดทำประกันการเดินทางของแรงงานทุกราย โดยจะมีการอบรมแรงงานก่อนเดินทาง รับสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ จัดหาบัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับ รถไปสนามบิน รวมทั้งรับแจ้งการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ณ ด่านตรวจคนหางาน ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่แรงงานจะเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศ
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากกรมการจัดหางานได้ที่ เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
กอช. รณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการออมเพื่อความมั่นคงในยามเกษียณ
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวถึงการส่งเสริมการออมและให้ความรู้ทางการเงินแก่คนไทย ว่า เป้าหมายของกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) ต้องการให้ประชาชน มีบำนาญใช้อย่างเกษียณอายุ ผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถเข้าเป็นสมาชิกกองทุนได้ แต่ต้องไม่มีประกันสังคม ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือหลักประกันด้านบำนาญ
โดยการออมของสมาชิก เริ่มตั้งแต่ 50 บาทต่อครั้ง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ซึ่งการสมทบของรัฐบาล หากผู้ออม อายุ 15 - 30 ปีขึ้นไป รัฐบาลจะสมทบครึ่งหนึ่งของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาท อายุ 30 - 50 ปี รัฐบาลส่งสมทบให้เป็นร้อยละ 80 อายุ 50 - 60 ปี รัฐบาลจะสมทบให้ 100% และจะสามารถเบิกได้เมื่ออายุครบ 60 ปี โดยจะคืนในรูปแบบของเงินเดือน แต่หากผู้ออมเสียชีวิตก็จะคืนเป็นเงินก้อนให้กับทายาท แต่หากลาออกจากกองทุนก่อนอายุครบ 60 ปี ก็จะต้องคืนในส่วนของเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้
ปัจจุบันการออมเพื่อการเกษียณ มีประชาชนให้ความสนใจน้อยมาก กอช. จึงได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วน เพื่อจูงใจให้ทุกคนเห็นความสำคัญของกองทุน กอช. ทั้งในกลุ่มของนักเรียน นิสิต นักศึกษา พ่อค้า แม่ค้า เพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณ โดยผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ผ่าน application ของ กอช. โดยใช้หมายเลขบัตรประชาชนในการตรวจสอบ
หากผู้ออมตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เมื่อจบการศึกษา และอายุ 25 ปี สอบทำงานราชการได้ หรือทำงานในบริษัทเอกชน สิทธิการออมก็ยังคงอยู่ สามารถหยุดส่งได้ หรือจะส่งต่อแต่จะได้แค่ดอกผลจากการออมและยังสามารถนำเงินออมในปีนั้นไปคำนวณภาษีได้
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว