สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (14-18 สิงหาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (14-18 สิงหาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
14 สิงหาคม 2566
ประธานรัฐสภา ยังไม่นัดประชุมรัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี 18 สิงหาคมนี้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่มีการทำนายว่าวันที่ 18 สิงหาคม 2566 เป็นวันฤกษ์ดี เหมาะสมแก่การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีว่า การจะนัดลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีวันใด จะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ก่อนว่าจะออกมาในทิศทางใด ซึ่งสามารถออกมาได้หลายประเด็น ดังนั้นต้องรอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลฯก่อน จึงจะกำหนดการลงมตินายกรัฐมนตรีได้ โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาในช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็น่าพอจะทราบ และกำหนดท่าทีต่อไปได้ ทั้งนี้ยืนยันจะไม่มีการนัดล่วงหน้า เพราะเกรงจะเกิดความผิดพลาดและไม่อยากให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง สส.และ สว. ต้องเสียเวลา จึงต้องรอคำวินิจฉัย
พรรคเพื่อไทยรอประธานสภานัดวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี มั่นใจนายเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจบในรอบเดียว
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้กำลังรอว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภานัดวัดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน หากประธานสภานัดวันที่ 18 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันมหาฤกษ์ก็เห็นด้วย และเชื่อว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีได้เร็วก็น่าจะเป็นผลดีกับประเทศ หากทอดเวลายาวออกไปก็อาจจะไม่เป็นผลดีของฝ่ายใด ทั้งนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยมี สส. ที่พร้อมจะลงมติให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยเกินกึ่งหนึ่งประมาณ 270 เสียง แต่ยังไม่ได้รวมเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนเสียง สว. ก็อยู่ระหว่างการประสานและเชื่อว่าเสียงส่วนมากจะสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย และมั่นใจว่านายเศรษฐาจะผ่านในรอบเดียว ส่วนจะดึงพรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมด้วยหรือไม่นั้น คงต้องคุยกันในระดับแกนนำพรรคก่อน ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้(15 ส.ค.) จะมีการประชุมภายในของพรรคเพื่อไทยและในช่วงบ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องนี้จาก สส.ก่อน และแกนนำพรรคก็จะมีการพบปะพูดคุยกันในเรื่องนี้เพื่อหาข้อยุติเช่นกัน
15 สิงหาคม 2566
นายกรัฐมนตรีชมการแสดงคณะวงโยธวาทิต ตัวแทนประเทศไทยในเทศกาลวงโยธวาทิตระดับนานาชาติ
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายโกสินทร์ สืบประสิทธิ์วงศ์ นายกสมาคมวงโยธวาทิตแห่งประเทศไทย นำคณะวงโยธวาทิตตัวแทนประเทศไทย ที่เข้าร่วมการแสดงในเทศกาลวงโยธวาทิต ระดับนานาชาติ ที่ประเทศเกาหลีใต้ เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นายกรัฐมนตรีได้ชมการแสดงจากวงโยธวาทิต ที่มีการแสดงผสมผสานมวยไทย พร้อมให้โอวาท ว่า จากที่ได้รับรายงาน จากผู้รับผิดชอบ ทราบว่าได้รับรางวัลมา 6 รางวัล และเป็นการไปแข่งขันที่ต่างประเทศครั้งแรก ได้เห็นถึงความพร้อมเพรียง ความมั่นใจและความตั้งใจ ของพวกเราทุกคน ทั้งผู้เล่นดนตรีและส่วนประกอบทั้งวง เป็นที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง พร้อมขอเป็นกำลังใจในนามรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ให้ได้แสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่ ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราเป็นเหมือนทูตวัฒนธรรมทางดนตรีและจะได้ไปเจอเพื่อนๆ ที่ต่างประเทศ ขอให้สร้างมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน ส่วนการเดินทางไปเกาหลีใต้ ขอให้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ และวัฒนธรรม ประเทศพัฒนาอย่างไร เมื่อกลับมาก็กลับมาคิดต่อว่าวันข้างหน้าเราจะอยู่กันอย่างไร จะทำให้ประเทศเดือนหน้าได้อย่างไร หลายอย่างเราดีแล้วและหลายอย่างต้องปรับปรุงแก้ไขระหว่างกัน ทั้งนี้ในทีมต้องให้ผู้ชายดูแลผู้หญิง เป็นสุภาพบุรุษ พร้อมระบุว่า ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จและปลอดภัยในการเดินทาง ระมัดระวังเรื่องโควิดด้วย ขอให้ใส่หน้ากากอนามัยและตรวจเอทีเคด้วย ขอให้ทุกคนประสบชัยชนะกลับมา คนไทยส่งกำลังใจไปให้ทุกอย่างไม่เคยหลุดไปจากโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเรื่องดนตรี หรือซอฟพาวเวอร์เรามีทั้งหมด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีเพลงค้างคาวกินกล้วย ที่ฮิตอยู่ใน Tiktok ซึ่งต่างประเทศได้นำมาทำเป็นการ์ตูนและใส่เพลงเข้าไป จึงได้สั่งการให้กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำเป็นแบบฉบับการ์ตูนกับเพลงไทยอื่นๆ ด้วย เพื่อให้ทันสมัย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวได้ให้รางวัลในวันนี้แล้วคือ คำชื่นชมยินดี ส่วนผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ แต่เราก็ภูมิใจในความเป็นไทยของเรา แสดงออกให้เต็มที่ จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบพระให้กับคณะวงโยธวาทิต ทักทายเด็กๆ และถ่ายรูปร่วมกันและบอกให้ดื่มน้ำเยอะๆ เนื่องจากอากาศร้อน
พรรคเพื่อไทยเห็นชอบเสนอเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี มั่นใจลงมติผ่านในครั้งแรก
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค แถลงว่า ที่ประชุม สส.ของพรรค มีความเห็นข้อสรุปการเลือกนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นวันที่ 18 ส.ค. หรือ 21 ส.ค. นั้น ทางพรรคก็อยากให้เลือกให้เร็วที่สุดคือ วันที่ 18 ส.ค. นี้ แต่ก็ต้องรอประธานรัฐสภากำหนดวันก่อน โดยจากการประชุม สส. และกรรมการบริหารพรรคมีมติเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นบุคคลผู้มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีและมั่นใจว่าในที่ประชุมจะได้เกิน 375 เสียงอย่างแน่นอน
ส่วนที่พรรคก้าวไกล มีมติไม่ลงมติสนับสนุนให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ระบุว่า เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยได้ทราบแล้วว่าพรรคก้าวไกลจะไม่โหวตสนับสนุน แต่ก็ถือโอกาสขอขอบพระคุณด้วย ทั้งนี้พรรคจะไม่มีท่าทีใดๆ เพราะถือเป็นมิติทางการเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นของตนเอง ไม่ก้าวก่ายกันในมิติทางการเมือง ซึ่งยืนยันเพื่อไทยสามารถทำงานการเมืองได้กับทุกพรรค ทุกมิติ ถ้าจะถามว่าขัดแย้งกันหรือไม่ ก็ตอบด้วยความจริงใจว่าไม่มี
ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉนายเศรษฐา จะส่งผลให้ สว. ไม่ยกมือให้หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนการต่างๆ
มติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ สส.พรรคก้าวไกล ไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีรัฐบาลข้ามขั้ว
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงมติในที่ประชุม สส.ของพรรคก้าวไกล กรณีโหวต หรือไม่โหวตนายกฯ วันนี้ ว่า มติในที่ประชุม สส.ของพรรคก้าวไกล สรุปเป็นเอกฉันท์ว่า สส.ของพรรค จะไม่โหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลข้ามขั้วที่กำลังเกิดขึ้น เพราะพรรคก้าวไกลต้องการแสดงจุดยืนว่าไม่ต้องการที่มีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลลักษณะนี้
ด้วยเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้น เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน ที่ได้แสดงออกผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 การที่จะให้ สส. ของพรรคก้าวไกล โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยที่กำลังจัดตั้งอยู่นี้ ไม่ใช่การปิดสวิตช์สว. แต่เป็นการเดินตาม สว. เดินตามความต้องการของ สว. ในการที่จะบิดเบือนผลการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าที่ผ่านมา สว. จำนวนมากและพรรคขั้วรัฐบาลเดิม ต้องการปิดสวิตช์พรรคก้าวไกล ที่ชนะการเลือกตั้งและเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้คือ การจัดตั้งรัฐบาลที่เกรงใจผู้มีอำนาจ ยกเว้นการเกรงใจประชาชน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะไม่สามารถผลักดันวาระที่ก้าวหน้าและทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง
16 สิงหาคม 2566
ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยตรง
ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า กรณีรัฐสภา (ผู้ถูกร้อง) มีมติตีความว่าการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง
เป็นนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบที่สอง เป็นญัตติทั่วไป ต้องห้ามนำเสนอญัตติซ้ำอีก ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ข้อเท็จจริง ตามคำร้อง คำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำร้อง และเอกสารประกอบ สรุปได้ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ร้อง) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายพรชัย เทพปัญญา (ผู้ร้องเรียนที่ 1) และนายบุญส่ง ชเลธร (ผู้ร้องเรียนที่ 2) ซึ่งเป็นบุคคลผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล และนางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล และคณะ ซึ่งเป็นประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จำนวน 17 คน โดยผู้ร้องเรียนทุกคนกล่าวอ้างว่า การที่รัฐสภามีมติดังกล่าวละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องเรียนทุกคน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม และมาตรา 27 และขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยให้มีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลจากการกระทำละเมิดโดยใช้อำนาจรัฐ แต่บุคคลที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง เนื่องจากผู้ร้องเรียนทุกคนไม่ใช่บุคคลที่พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อไว้ว่าจะเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งไม่ได้เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อต่อรัฐสภา จึงไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป
โรมาเนีย-ไทย พร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือให้เป็นรูปธรรม
นายบ็อกดัน บาเดีย เอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสพ้นจากหน้าที่
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนพูดคุย ในประเด็นเศรษฐกิจและการค้า หวังว่าจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้มีการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน ด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นส่วนส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ คาดว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวโรมาเนียที่ต้องการเดินทางมาเที่ยวที่ไทยจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ด้านวัฒนธรรม ไทยหวังว่าจะได้แลกเปลี่ยน ทางวัฒนธรรมระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเนื่องในโอกาสการครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-โรมาเนีย เห็นว่า ทั้งสองประเทศมีส่วนความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรม แต่ด้วยระยะทางที่ห่างกัน ทำให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนยังไม่มากนัก จึงหวังที่จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประชาชนชาวไทยและโรมาเนียมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำประเทศไทย กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับไทยเป็นอย่างมาก โดยจะเน้นย้ำเอกอัครราชทูตฯ คนใหม่ ถึงการเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
17 สิงหาคม 2566
ประธานรัฐสภา พร้อมเลือกนายกรัฐมนตรี 22 สิงหาคมนี้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดเผยผลการประชุมคณะทำงานประสานงานข้อกฎหมาย ในวันนี้ (17 ส.ค.66) ว่า ที่ประชุมฯ ได้เตรียมการสำหรับการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป เพื่อไม่ให้ สส. และ สว. ได้รับผลกระทบจากการเดินทาง เนื่องจากในวันดังกล่าว จะมีการปิดเส้นทางจราจรบางเส้นทางรอบอาคารรัฐสภา โดยในวันพรุ่งนี้ (18 ส.ค.66) ตนเองยังได้นัดประชุมวิปวุฒิสภาและตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อหารือกรอบเวลาอีกครั้ง
ประธานรัฐสภา ยังกล่าวถึงกรณีที่ สส. พรรคก้าวไกล ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาค้างอยู่ในวาระการประชุมรัฐสภา เพื่อขอให้รัฐสภาทบทวนมติการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ว่า ญัตติดังกล่าวยังคงค้างอยู่ในวาระการประชุมของรัฐสภาและยังไม่มีข้อยุติ แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้วินิจฉัยมติรัฐสภาแล้ว จึงจะขอให้ที่ประชุมรัฐสภารีบพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้การพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สามารถลงมติได้ทันในเวลา 15.00 น. และจบในเวลา 17.00 น. เนื่องจากการเลือกนายกรัฐมนตรีถือเป็นเรื่องด่วนที่สุด เพราะการเลือกตั้งผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่ประชาชนยังไม่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงยังมีกฎหมายรอการพิจารณาตามกำหนดเวลาจำนวนมาก
ประธานรัฐสภา ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้ประธานรัฐสภานัดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี โดยคำนึงถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทยด้วย ว่า ขอให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองและขณะนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองใดประสานมาเพื่อขอให้เลื่อนการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีออกไป โดยในวันพรุ่งนี้ (18 ส.ค.66) จะออกหนังสือนัดประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีให้สมาชิกรัฐสภารับทราบต่อไป
นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามหลังมีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเชิญพรรครวมไทยสร้างชาติหารือการจัดตั้งรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์? จันทร์โอชา? นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทย เตรียมเชิญพรรครวมไทยสร้างชาติหารือในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า?ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ ขอให้แยกแยะหน้าที่ ซึ่งได้พูดแล้วหลายครั้ง ต้องเดินหน้าทำงานในหน้าที่ต่อในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ? พร้อมขอให้สื่ออย่าขยายความขัดแย้ง
ขณะที่ นายอนุทิน? ชาญวีรกูล? รองนายกรัฐมนตรี? ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย? กล่าวว่า ไม่ทราบถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เตรียมหารือกับพรรครวมไทยสร้างชาติในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ก็นัดพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยอยู่ และคงต้องนัดคุยกับทุกพรรคให้เรียบร้อย
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล เสนอให้ทบทวนมติที่ประชุมรัฐสภา ที่ห้ามเสนอญัตติซ้ำในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังค้างอยู่ในวาระการประชุมรัฐสภา? แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญ? ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ยื่นเรื่องให้วินิจฉัย? นายอนุทิน? กล่าวว่า? เป็นไปตามกฎหมาย?และคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่าก่อนวันที่? 22 สิงหาคมนี้จะต้องมีการหารือให้ตกผลึกกันก่อน?
18 สิงหาคม 2566
ประธานรัฐสภา หารือแนวทางการจัดสรรเวลาในการประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เชิญตัวแทนคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) และตัวแทนพรรคการเมือง มาประชุมร่วมกันเพื่อหารือแนวทางการประชุมรัฐสภา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อหารือแนวทางการจัดสรรเวลาในการประชุมรัฐสภา โดยมีวาระสำคัญ 2 เรื่องคือ ญัตติด่วนด้วยวาจา ตามข้อบังคับการประชุม ข้อ 32 (1) เรื่องขอให้รัฐสภามีมติทบทวนการพิจรณามติ เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคมที่ผ่านมา ว่า การเสนอชื่อบุคคลเดิมให้รัฐสภาเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีสามารถเสนอบุคคลเดิมซ้ำ ซึ่งนายรังสิมันต์ โรม สส. พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ รวมถึงวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ที่ต้องพิจารณาว่าหลังจากที่เสนอชื่อบุคคลต่อรัฐสภาแล้ว จะเปิดให้มีการอภิปรายประเด็นคุณสมบัติและการแสดงวิสัยทัศน์ของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อ
สำหรับกรอบเวลาการอภิปรายเบื้องต้น จัดสรรเวลาให้ สว. จำนวน 1 ชั่วโมง สส. จำนวน 3 ชั่วโมง โดยให้ตัวแทนพรรคการเมือง พรรคละ 1 คน เป็นผู้อภิปราย ทั้งนี้ การอภิปรายดังกล่าวต้องยุติในเวลา 15.00 น. เพื่อให้การลงมติว่าจะเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบเดินหน้าได้ โดยคาดว่าการลงมติจะแล้วเสร็จในเวลา 17.30 น.
กกต.ยืนยันทำหน้าที่ถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจ แต่พัฒนาการทางการเมืองไทยปัจจุบันถือว่ามีสัญญาณที่ดี
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวในการอภิปรายออนไลน์ หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 13 ในหัวข้อ "กกต. มีไว้ทำไม" ณ ห้องประชุม 704 ชั้น 7 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อาคารรัฐประศาสนภักดี เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
นายแสวง ระบุว่า หน้าที่ของ กกต. แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ การทำให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม การให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการพัฒนาการเมือง แต่ กกต. ไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้โดยลำพัง ทุกภาคส่วนจึงต้องมีส่วนร่วมช่วยกัน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเลือกตั้งด้วย ซึ่ง กกต. พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ทำให้เกิดข้อกังขาใจการทำงานของ กกต. โดยเฉพาะในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ผ่านมา
นายแสวง กล่าวว่า ในการเลือกตั้งปี 2562 กับ 2566 จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกับผู้มาใช้สิทธิ์ใกล้เคียงกันมาก ขณะที่คุณภาพของคะแนนในประเทศไทยมีปัญหาอย่างมาก เนื่องจากยังมีการซื้อสิทธิ์เสียงอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันประชาชนมีพัฒนาการในการเลือกตั้งดีขึ้น ที่พิจารณาจากนโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเมืองไทย
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
14 สิงหาคม 2566
ออกประกาศควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ฉบับใหม่ ลดความซับซ้อน
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก สินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ 2 ฉบับ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยจากประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับเก่า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าไม้ในปัจจุบัน โดยเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการนำเข้า 1 ฉบับ เรื่องกำหนดให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูปและสิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องมีหนังสือรับรองในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 โดยห้ามนำเข้าไม้พะยูงท่อน ไม้พะยูงแปรรูปและสิ่งประดิษฐ์ที่ทำจากไม้พะยูงจากกัมพูชา และ สปป.ลาว ห้ามนำเข้าไม้ท่อนทางด่านศุลกากร จังหวัดตาก กาญจนบุรี และจังหวัดแม่ฮ่องสอน และห้ามนำเข้าไม้แปรรูปทางด่านศุลกากร จังหวัด แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ ไม้ท่อน ไม้แปรรูปและสิ่งประดิษฐ์ของไม้นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น สามารถนำเข้าได้โดยแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกประกอบพิธีการนำเข้า
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูปและไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2566 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป โดยห้ามส่งออกไม้พะยูงและผลิตภัณฑ์ทุกกรณี ในขณะที่ไม้ท่อน ไม้แปรรูปและไม้ล้อมบางชนิด สามารถส่งออกได้แต่ต้องขออนุญาต รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้สามารถส่งออกได้โดยแสดงหนังสือรับรองประกอบพิธีการส่งออก โดยผู้ที่จะส่งออกสามารถติดต่อที่กรมป่าไม้เพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น เพื่อขอรับใบอนุญาตส่งออก พร้อมเอกสารหลักฐานตามที่กรมป่าไม้กำหนด เช่น ใบกำกับสินค้า (Invoice) ภาพถ่ายสินค้า เอกสารหลักฐานแสดงว่าไม้ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น
ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อ BCG โมเดล 35,000 ล้านบาท ผ่าน 3 โครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)ส่งเสริมและสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร บุคคล นิติบุคคล กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร ผ่านสินเชื่อ BCG Model วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ สินเชื่อเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน สินเชื่อสีเขียว เพื่อจูงใจให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร หันมาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ธ.ก.ส. กำหนดอัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าที่อยู่ในช่วงเริ่มโครงการและอยู่ระหว่างการรับรองมาตรฐาน กรณีเป็นเกษตรกร บุคคล อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี และนิติบุคคล กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี และกรณีที่ลูกค้าได้รับการรับรองมาตรฐาน สำหรับเกษตรกร บุคคล จะคิดอัตราดอกเบี้ย MRR -1 ต่อปี และนิติบุคคลคิดอัตราดอกเบี้ย MLR -0.5 ต่อปี ทั้งนี้กรณีกู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนกำหนดชำระคืน ไม่เกิน 12 เดือน พิเศษ ไม่เกิน18 เดือน กรณีกู้เพื่อลงทุนชำระคืนภายใน15 ปี กรณีกู้เพื่อชำระหนี้สถาบันการเงินอื่นชำระคืนภายใน 10 ปี พิเศษไม่เกิน 15 ปีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2571
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ และ Call Center 02-555-0555 ตลอด 24 ชั่วโมง
15 สิงหาคม 2566
ภาคเอกชน เชื่อว่าจะได้รัฐบาลใหม่ในกรอบเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ หลังพรรคเพื่อไทยรวบรวมเสียงได้เพิ่มขึ้น
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิดและเห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถรวบรวมเสียงได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และคาดว่าจะมีพรรคการเมืองและวุฒิสภาให้การสนับสนุนเพิ่มเติม จนสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากแคนนดิเดตพรรคเพื่อไทยได้ โดยหอการค้าฯ ยังมีความมั่นใจว่า น่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ได้ในกรอบของเดือน ส.ค. - ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ช้าเกินไป ซึ่งไทยควรมีรัฐบาลชุดใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะปัจจุบันประเทศมีประเด็นความท้าทายหลายประการ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้นและการลงทุนยังคงรอดูท่าที
ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องดูแลทันทีคือ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเร่งเสริมภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและถือเป็นช่วงไฮซีซันของปี พร้อมเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2567 และเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานและเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต
นายสนั่น กล่าวว่า เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงน่ากังวล โดยเฉพาะกำลังซื้อของประชาชนที่มีแนวโน้มลดลง ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทันที เพื่อดึงกำลังซื้อของประชาขนให้กลับมา ซึ่งภาคเอกชน มองว่า ผู้ที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วน ว่าจะสามารถนำเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด ดังนั้น หากรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าพรรคเพื่อไทยสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และนำเอานโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท มาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแบบทันทีนั้น หอการค้าฯ มองว่าในหลักการสามารถทำได้ แต่ต้องประเมินผลความคุ้มค่าในแง่เศรษฐกิจให้ชัดเจนและรอบด้านเพราะเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณมหาศาล
16 สิงหาคม 2566
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมโครงการท่าเรือมาบตาพุดฯ เฟส 3 คืบหน้าตามแผน คาดปี 70 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 พร้อมทั้งชื่นชมการทำงานของ กนอ. ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ พร้อมเน้นย้ำการพัฒนา EEC ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่ง
ขณะที่ กนอ. ได้รายงานความก้าวหน้า การก่อสร้างที่มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 58.42 ถือว่าคืบหน้าเป็นลำดับต้นๆ ของโครงการ EEC Project List ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างมีความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน อาทิ การก่อสร้างเขื่อนกันทราย งานขุดลอกถมทะเลและงานก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น
การจัดทำแผนพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลวของท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมถึงรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดย กนอ. คาดว่าโครงการช่วงที่ 1 จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2570
17 สิงหาคม 2566
สถานการณ์ภัยแล้ง กระทบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบริเวณคลองปานามา
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หน่วยงานวิชาการในต่างประเทศได้คาดการณ์ว่า ปี 2566 คลองปานามาจะเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งที่เป็นผลพวงจากการเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงสิ้นปี ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานบริหารคลองปานามา ได้ปรับลดระดับเพดานสูงสุดของอัตรากินน้ำลึกของเรือขนส่งสินค้า ทำให้เรือต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์และมีการเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมสูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยใช้คลองปานามาเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออก (East Coast) ของสหรัฐอเมริกา โดยไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 6 ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ใช้คลองปานามา เป็นเส้นทางการขนส่งของเรือตู้คอนเทนเนอร์ มีมูลค่าการค้ารวม 17,912.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ไทยยังใช้คลองปานามาในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศที่อยู่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และเฟรนซ์เกียนา และประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลแคริบเบียน อเมริกากลาง
ในปี 2567 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัว ทำให้ความต้องการซื้อสินค้า ความต้องการใช้เรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์กลับมาเพิ่มขึ้น ท่ามกลางปรากฏการณ์เอลนีโญที่มีแนวโน้มยาวนานจนถึงปี 2567 จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงค่าระวางเรือจะปรับตัวสูงขึ้น ภาคเอกชนจึงควรติดตามสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้าเป็นระยะๆ เพื่อปรับตัวและเตรียมกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อรับมือให้ทันต่อสถานการณ์โลก ขณะเดียวกัน สนค. ทำการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยเตือนภัยให้แก่ภาคเอกชนรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
กรมการค้าภายใน กำกับดูแลราคาข้าวสารถุง หลังข้าวเปลือกราคาสูงขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ข้าวสารถุง หลังข้าวเปลือกราคาสูงขึ้นมาก ว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน กำกับดูแลราคาข้าวสารให้กระทบต่อผู้บริโภคให้น้อยที่สุด เพราะแม้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้น จะมีผลดีกับเกษตรกร แต่ก็จะทำให้ต้นทุนข้าวสารสูงขึ้นตามไปด้วย และย้ำว่ายังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นราคาในขณะนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาราคาข้าวสารถุงส่วนใหญ่ แม้แปะป้ายราคาไว้ แต่เมื่อขายจริงจะมีการจัดทำโปรโมชั่นลดราคาต่อเนื่อง
กรมการค้าภายใน ประชุมร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง สมาคมโรงสีข้าวไทยและห้างค้าส่ง ค้าปลีกต่างๆ ซึ่งได้สั่งการให้ช่วยดูถึงความเหมาะสม ให้อยู่ร่วมกันได้ทุกฝ่ายทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้บริโภค
18 สิงหาคม 2566
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบินไทยพลิกฟื้นกำไรสูงสุดในรอบ 20 ปี เร่งออกจากแผนฟื้นฟูก่อนกำหนด
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเยี่ยมชมกิจการพร้อมรับฟังรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมคณะทำงานแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทยฯ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลที่ได้ร่วมกันอย่างเต็มความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ จนทำให้การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูประสบความสำเร็จ ซึ่งขณะนี้ ณ เดือนสิงหาคม สถานะกระแสเงินสดมี 57,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ขององค์กร โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทยฯ มาโดยตลอด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังมั่นใจว่า การจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นไปตามแผนสร้างความเชื่อมั่นกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้สอบถามถึงแผนระยะยาวในการปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติการบินและการปรับปรุงเส้นทางบิน ทั้งเส้นทางการบินระยะสั้นและระยะไกล ให้สอดคล้องกับความต้องการการเดินทางของผู้ใช้บริการที่ปัจจุบันนิยมบินแบบต่อเครื่อง หรือ Transit โดยขอให้บริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพทั้งการบินระยะทางสั้นและการบินระยะทางไกลและเพื่อให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นสำหรับนำมาพัฒนาองค์กรให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันเส้นทางการบินได้เปิดบริการใกล้เคียงเส้นทางก่อนการฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งได้มีการเตรียมความพร้อมการให้บริการภาคพื้นไว้รองรับการให้บริการเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทการบินไทยฯ ได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดระยะสั้นจนผ่านพ้นวิกฤตและสามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำกำไร 4 ไตรมาสต่อเนื่อง ล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัท การบินไทยฯ มีกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในรอบ 20 ปี คาดว่าจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูฯได้ ในไตรมาส 4 ของปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนด
สังคม
14 สิงหาคม 2566
รัฐบาล ชี้แจงการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระหลักเพิ่มเติมคือ เป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฏหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ ดังนั้น จะต้องมีการออกระเบียบกำหนดรายละเอียดจากนี้อีกโดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพอยู่ก่อนวันที่ระเบียบใช้บังคับ จะยังมีสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป
ส่วนที่มีการกล่าวว่า การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นเพราะรัฐบาล ไม่มีความสามารถในการหาเงิน รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ทึ่ผ่านมาเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น มีการจดทะเบียนการค้าบริษัทต่างชาติ การขอการสนับสนุนการลงทุนต่างชาติเพิ่มต่อเนื่อง ดูจากตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.65-เม.ย.66) เก็บรายได้สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 6.5 สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 107,101 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.10 ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.4 และสูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณร้อยละ 8.9
รัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาประชาชนอย่างมุ่งเป้า ใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ วันนี้มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี เกือบถึง 9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้น หากลดการจ่ายเบี้ยฯแก่ผู้สูงอายุ เฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูง หรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย เพราะงบประมาณที่จ่ายให้ไป อาจจะไม่มีความจำเป็น ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังที่พุ่งเป้าเพื่อช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนกว่า อีกทั้งสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ขอฝ่ายการเมืองอย่ามองเป็นการลักไก่
กกพ.แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพส่ง SMS แจ้งว่าได้รับเงินค่าประกันมิสเตอร์
นายวัลลภ จิวหลง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการมีส่วนร่วมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายส่งเงินคืนให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1 และ 2 ซึ่งเป็นบ้านอยู่อาศัยและธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายในช่วงโควิดระบาด ซึ่งภายหลังประกาศมีผู้ใช้ไฟฟ้าที่ยื่นขอรับคืนเงินเพียงร้อยละ 50 และอีกร้อยละ 50 ที่ไม่มาขอรับเงินคืน เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นคู่สัญญาเสียชีวิตหรือขายบ้านโดยไม่ได้โอนชื่อ ทำให้ผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ขอคืนไม่ได้ ไม่ประสงค์ขอรับคืน บางรายที่ไม่ทราบว่าสามารถขอรับเงินคืนได้ ส่วนกลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลาง ใหญ่และกิจการเฉพาะอย่าง หรือประเภท 3 , 4 และ 5 ที่จะต้องส่งคืนเป็นลำดับต่อไปนั้น สำนักงาน กกพ.จะต้องเร่งคืนเงินค่าประกันไฟฟ้าประเภท 1 และ 2 ให้เสร็จสิ้นก่อน
สำนักงาน กกพ. เร่งประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีชื่อเป็นเจ้าของมิเตอร์ ให้รีบติดต่อการไฟฟ้าโดยตรงเพื่อขอคืนเงินและป้องกันไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน ด้วยวิธีการส่งข้อความหลอกลวงผ่านทาง SMS หรือ LINE โดยประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบสิทธิ์การขอรับเงินคืนให้กับเจ้าของมิเติอร์ไฟฟ้าได้ที่ www.mea.or.th พร้อมแจ้งเตือนหากมีโทรศัพท์หรือ SMS หรือ LINE แจ้งว่า จะส่งคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าค้างโปรดอย่าหลงเชื่อ หากสงสัยให้ โทรศัพท์สอบถามสายด่วนของ กฟภ. 1129 กฟน. 1130 และ สำนักงาน กกพ. 1204
15 สิงหาคม 2566
มท.1 ย้ำผู้สูงอายุไม่ต้องกังวล ได้รับเบี้ยเหมือนเดิม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงประเด็นสงสัยของพี่น้องประชาชนอยู่ในขณะนี้เรื่องการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สุงอายุนั้น มีประเด็นที่ต้องสร้างความรับรู้ความเข้าใจ 3 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 ที่มาของการแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ นั้นเกิดขึ้นจากในอดีตผู้ที่ได้รับสวัสดิการภาครัฐ เช่น บำเหน็จ บำนาญ จะไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ ทั้งนี้ อาจจะเป็นผู้มีรายได้น้อย ไม่พอกับการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กระทรวงมหาดไทยจึงจำเป็นต้องปรับแก้ระเบียบฯ ให้สอดคล้องสถานการณปัจจุบัน ให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม จึงไม่ใช่การลักไก่ออกระเบียบฯ ในช่วงรัฐบาลรักษาการแต่อย่างใด ประเด็นต่อมาผู้มีสิทธิรายใหม่ที่จะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์นั้น โดยในขณะนี้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นฝ่ายเลขานุการ ยังไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ ดังนั้นในระหว่างที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพก็ยังได้รับเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ต้องกังวล และประเด็นสุดท้ายยืนยันว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะพิจารณา โดยอยู่บนหลักของความทั่วถึงและเป็นธรรม
รมว.แรงงาน สั่งทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือแรงงานไทยเสียชีวิตที่โอมาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่นายณัฐภัทร บุญทม แรงงานไทยเสียชีวิตที่ประเทศโอมานว่า นายกรัฐมนตรีกำชับให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบข้อมูลและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เรื่องนี้ได้สั่งการให้ทูตแรงงานที่กรุงอาบูดาบี ซึ่งประเทศโอมานอยู่ในความรับผิดชอบของ (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือในทันที เพื่อยืนยันการเสียชีวิตและสาเหตุการเสียชีวิต
นอกจากนี้ ยังได้แจ้งการเสียชีวิตให้ญาติทราบ พร้อมให้กำลังใจนางสภาวดี บุญทม ภรรยาของนายณัฐภัทร ซึ่งปัจจุบันไปทำงานค้าขายอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดหนองคายในวันนี้ (15 ส.ค.66) ส่วนการเคลื่อนย้ายศพของนายณัฐภัทรนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการชันสูตรศพถึงการเสียชีวิตที่ชัดเจนแล้ว จึงจะสามารถเคลื่อนย้ายศพกลับประเทศไทยได้ ซึ่งนายจ้างจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมและขนร่างของลูกจ้างสู่บ้านเกิด หรือสถานที่ที่ได้รับการร้องขอจากญาติ
ส่วนค่าจ้างค้างจ่ายเดือนสิงหาคม 2566 ถึงวันทำงานวันสุดท้าย และเงินสิ้นสุดสัญญาจ้าง ซึ่งต้องคำนวณตามระยะเวลาทำงานจริง ในส่วนเงินชดเชยการเสียชีวิตต้องรอพิจารณาจากใบมรณบัตร ฝ่ายแรงงานฯ ให้คำแนะนำกับทางบริษัทว่าเมื่อได้รับใบมรณบัตรจากทางโอมานให้ประสานติดต่อขอใบมรณบัตรจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต ก่อนดำเนินการส่งศพกลับประเทศไทย
จากการตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตน ของสำนักงานประกันสังคม พบว่า นายณัฐภัทร เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อปี 2552 และมีเงินสะสมกรณีชราภาพอยู่ 21,965.44 บาท และจากการตรวจสอบของกรมการจัดหางาน พบว่า นายณัฐภัทร เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงแรงงาน การให้แรงงานจังหวัดพร้อมด้วยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดหนองคาย ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจพร้อมแจ้งข้อมูลขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ การจะนำศพกลับประเทศไทย รวมทั้งชี้แจงเรื่องสิทธิประโยชน์และอำนวยความสะดวกเรื่องขั้นตอนเอกสารหลักฐานต่างๆ
มท.รับสนองแนวพระราชดำริจัดโครงการประกวดลายผ้าพระราชทาน "ผ้าลายดอกรักราชกัญญา"
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย รวมแถลงข่าวโครงการประกวดลายผ้าพระราชทาน "ผ้าลายดอกรักราชกัญญา" และงานหัตถกรรม ภายในงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยครับบารมี บริเวณเวทีกลางอาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตเสื้อผ้าผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผู้เข้าประกวดจำนวน 7,086 ชิ้นงาน เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าจำนวน 6,288 ชิ้นและงานหัตถกรรมจำนวน 798 ชิ้น
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผ้าลายดอกรักราชกัญญาเป็นลายผ้าที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงศึกษาค้นคว้าลวดลายพื้นถิ่นภาคใต้แล้วนำมาออกแบบผสมผสานกับลายดอกรักที่สื่อถึงความรักและกำลังใจ มารวมกันจนกลายเป็นผ้าลายดอกรักราชกัญญา ที่มีความร่วมสมัยและเป็นสากล เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญแก่ช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค เยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนคนไทยทุกคน ในการสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญางานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน
การประกวดผ้าลายพระราชทาน "ผ้าลายดอกรักราชกัญญา" และงานหัตถกรรม ในปีนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคนในการสนองแนวพระราชดำริ ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทย
16 สิงหาคม 2566
เสริมทักษะสร้างอาชีพใหม่ให้คนพิการในยุคดิจิทัล สู่การเป็นนักสร้างคอนเทนต์อย่างมืออาชีพ สร้างอาชีพสร้างรายได้
นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการสร้างอาชีพใหม่ สำหรับคนพิการและผู้ดูแลคนพิการบนเส้นทางที่ใช่ในยุคดิจิทัล How to การเป็นนักสร้างคอนเทนต์อย่างมืออาชีพ ว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กำหนดแผนการขับเคลื่อนส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ที่จำเป็นให้กับคนพิการทั้ง Upskill /Reskill เพื่อมุ่งเน้นให้คนพิการและผู้ดูแลคนพิการ สามารถประกอบอาชีพได้จริง ด้วยการสร้างโอกาส สร้างอาชีพทางด้านทักษะการทำงานด้านดิจิทัล แต่ยังขาดเทคนิคในการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ให้มีความน่าสนใจ จึงได้จัดการอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เสริมทักษะงานด้านบริการ สื่อออนไลน์ ตลอดจนเทคนิคและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถต่อยอดสู่อาชีพบริการด้านสื่อออนไลน์ได้ผ่านกิจกรรมบรรยายหัวข้อ ทำความรู้จักอาชีพใหม่ ทำคอนเทนท์อย่างไรให้ตอบโจทย์ การโฆษณาผ่าน Social Media การวิเคราะห์แบบเจาะลึก insight ทำ Content อย่างไรให้ปัง และกิจกรรมกลุ่ม หัวข้อ ศิลปะการสร้าง Storytelling แบบมืออาชีพ เรียนแล้วลงมือ ทำ Content สร้างรายได้ รวมทั้งกิจกรรมการอภิปราย เปิดประสบการณ์การเป็น Content Creator สู่การสร้างอาชีพสร้างรายได้ โดยมีคนพิการและผู้ดูแลคนพิการ เจ้าหน้าที่จากศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ เจ้าหน้าที่จากศูนย์ส่งเสริมอาชีพ เจ้าหน้าที่จากสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ล่ามภาษามือ วิทยากรและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการอบรมกว่า 169 คน
ชวนคนไทยหาไอเดียสร้างรายได้เสริมที่งาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ” 18 สิงหาคมนี้
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทุกคนที่กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพอิสระ ร่วมงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ” ในวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ณ อาคารกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
ภายในงานจะพบกับการทดลองฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ เพื่อจุดประกายความคิดให้สามารถเลือกอาชีพเสริมที่มีความชอบ ความถนัดและเหมาะสมกับตนเอง จนสามารถนำไปสร้างรายได้เสริม หรืออาจประสบความสำเร็จจนกลายเป็นอาชีพหลักต่อไปได้ รวมถึงการนำกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีความเข้มแข็งจนประสบความสำเร็จเป็น Best Practice มาให้ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ให้กับประชาชนที่มองเห็นโอกาสจากการมีอาชีพเสริม หรือต้องการหาแรงบันดาลใจ หาไอเดียสร้างรายได้ในการประกอบอาชีพ
นอกจากนี้ ภายในงานมีกิจกรรมแนะแนวอาชีพ การเสวนาและมอบโล่รางวัลแก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน การเรียนรู้อาชีพจากโลกเสมือนจริง เกมทายอาชีพ สาธิตอาชีพอิสระกว่า 50 อาชีพ และเลือกซื้อสินค้าจากรถฟู้ดทรัค/แฟรนไชส์ มาเลือกดู เลือกสนับสนุนด้วย
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงเหตุผลสำคัญของการจัดงาน อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำว่า เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยที่มีความสนใจประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงบริการภาครัฐ ที่เน้นสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพ เปิดโลกทัศน์ให้ได้รู้จักอาชีพใหม่ๆ ในยุคปัจจุบัน รวมถึงจะได้รู้จักกลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ที่จะทำให้มองเห็นโอกาสจากการมีอาชีพเสริม เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพที่ 2 หรืออาชีพที่ 3 เพื่อเพิ่มรายได้ ประชาชนที่สนใจร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ที่กระทรวงแรงงาน
17 สิงหาคม 2566
กรมการศาสนาจัดมหกรรมศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนามหัศจรรย์ประทีปแห่งศรัทธามหาบารมีเฉลิมพระเกียรติ
นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับองค์การ 5 ศาสนา ได้แก่ พุทธ อิสลาม คริสต์ พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ ชุมชนคุณธรรม และศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จัดมหกรรมศาสนิกสัมพันธ์ สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แนวคิดมหัศจรรย์ประทีปแห่งศรัทธามหาบารมี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของศาสนิกชนศาสนาทุกศาสนา สนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมการนำ Soft Power มาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ภายในงานมีการประกอบพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนาเฉลิมพระเกียรติ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การประชุมคณะกรรมการศาสนิกสัมพันธ์ การประชุมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วย Soft Power ในมิติทางศาสนา
นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการสวนแสงแห่งศรัทธา ประดับดวงไฟนับหมื่นดวง ยังพื้นที่จัดแสดงสัญลักษณ์ศาสนสถาน 5 ศาสนา ได้แก่ พระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ทัชมาฮาลเมืองไทย สวนแห่งความรักและให้อภัย องค์เทพไท้ประทานพร สุวรรณวิหารอนุสรณ์ อีกทั้งยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอาหารของชุมชนศาสนิกสัมพันธ์กว่า 100 ร้านค้า กิจกรรมธรรมมะอารมณ์ดีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมบริเวณลานสร้างสุขกระทรวงวัฒนธรรม เปิดงานในช่วงเย็นวันนี้ (17 ส.ค.66) ผู้สนใจเข้าร่วมงานได้จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2566 ที่หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
ไทยพร้อมจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงรายปลายปี
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในการเปิดตัวศิลปินมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงราย 2023 ระยะที่ 2 จำนวน 20 คน ประกอบด้วยศิลปินไทยและนานาประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดงานระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ถึง 30 เมษายน 2567 ยืนยันว่า ได้มีการจัดแผนการทำงานอย่างเป็นระบบถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุด แม้ก็สามารถดำเนินงานได้ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดหวังการจัดงานจะสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 30,000 ล้านบาทตลอด 5 เดือนของการจัดงาน อีกทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยว แสดงถึงศักยภาพการจัดงานศิลปะระดับโลกของไทยสู่สายตาชาวโลก ซึ่งครั้งนี้มีศิลปินรวม 60 คนจาก 21 ประเทศ ประกอบด้วยศิลปินไทย 21 คน และศิลปินนานาชาติ 39 คน อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำแบบร่างผลงานมาสร้างสรรค์ต่อไป
ด้านนางสาวกฤติยา กาวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ กล่าวว่า ได้เตรียมพื้นที่จัดแสดงผลงานของศิลปินภายใต้แนวคิด เปิดโลก ในพื้นที่หลัก 2 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงรายกว่าร้อยละ 80 และอำเภอเชียงแสน ร้อยละ 20 รวมถึงการจัดแสดงทั้ง 18 อำเภอของศิลปินเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีการเปิดศาลาพาวิลเลี่ยน อีก 10 แห่ง รวมถึงกิจกรรมคู่ขนานตลอด 5 เดือน เช่น การเสวนาของศิลปิน ภัณฑารักษ์ และปราชญ์ท้องถิ่น การแสดงดนตรีชาติพันธุ์ การเปิดถนนศิลปะ และการเปิดบ้านศิลปินเชียงราย และแกลอรี่ด้านศิลปะในเชียงรายกว่า 80 แห่ง
ขณะเดียวกันยังเตรียมความพร้อมจัดพิธีเปิดงาน ของทั้ง 18 อำเภอร่วมจัดขบวนแห่จัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการจัดแผนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้คนในพื้นที่ ผู้ประกอบการทุกด้านร่วมกิจกรรม ดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย
18 สิงหาคม 2566
อย. แนะต้องการรับบริการเสริมความงาม ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนเพื่อความปลอดภัย
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวผู้รับบริการหน้าพังหลังเข้าคอร์สทำหน้า Pico Laser จากคลินิกและทราบภายหลังว่าผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์ประจำคลินิก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ชี้แจงว่า เครื่อง Pico Laser เป็นเครื่อง Laser ที่ทำงานโดยส่งคลื่นพลังงานความถี่สูง 1 ต่อล้านล้านวินาที ไปยังผิวหนังเป้าหมายที่มีปัญหา เพื่อลดเม็ดสีในบริเวณดังกล่าว มีคุณสมบัติเจาะจงกับเมลานินและเม็ดสีที่เข้มได้ดี โดยจะส่งการสั่นสะเทือนต่อผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เม็ดสีหรืออนุภาคของผิวแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเครื่องดังกล่าวมักใช้ในการรักษาจุดด่างดำ กระฝ้า เม็ดสีเข้มๆ ใต้ชั้นผิวหนัง หรือใช้ในการลบรอยสัก รวมถึงกระตุ้นคอลาเจนบนชั้นผิวหนัง แต่การใช้เครื่องดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้ง แดง จากการโดนเลเซอร์ รอยคล้ำหลังทำเลเซอร์ ผื่น บวม รวมถึงรอยตกสะเก็ดหลังการใช้
เครื่อง Pico Laser จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องแจ้งรายการละเอียดกับ อย. ก่อน จึงจะสามารถผลิต หรือนำเข้าได้ โดยต้องใช้ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตและต้องใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข หรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ หรือสาธารณสุขเท่านั้น
สำหรับผู้รับบริการควรตรวจสอบก่อนเข้ารับบริการว่า เป็นสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจริง โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบเครื่อง Pico Laser ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว