สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (7-11 สิงหาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (7-11 สิงหาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
7 สิงหาคม 2566
ประธานรัฐสภาไทย ร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารในการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหาร ในโอกาสการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ 44 ที่สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้สาระสำคัญคือ การตกลงในเรื่องต่างๆ หลายเรื่อง เช่น เห็นชอบให้ประเทศบรูไนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม AIPA Caucus ครั้งที่ 15 และสาธารณรัฐประชาธิปไคยประชาชนลาวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรีที่ปรึกษาของสมัชชารัฐสภาอาเซียนว่าด้วยยาเสพติดอันตราย (AIPACODD) ครั้งที่ 7 รวมถึงเห็นชอบให้การยกระดับการประชุมยุวสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเป็นการประชุมในระดับคณะกรรมาธิการ และพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานเลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียนที่เสนอตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาการจัดตั้งห้องสมุดดิจิทัลด้านกฎหมายของสมัชชารัฐสภาอาเซียน โอกาสนี้ ยังมีโอกาสพบปะหารือร่วมกับบุคคลสำคัญของอินโดนีเซีย ทั้งประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และรัฐมนตรีกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย ซึ่งตนเองจะหารือเกี่ยวกับการร่วมมือในการทำให้ยางพารามีราคาที่สูงขึ้น เพราะยางพาราถือเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยและอินโดนีเซีย โดยจะร่วมมือกันเพื่อทำให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเช่นในหลายๆ ปีที่ผ่านมา
ประธานรัฐสภา กล่าวอีกว่า หากมีเวลาจะนัดพบปะกับรัฐมนตรีประมงอินโดนีเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการแก้ปัญหาประมง ซึ่งเป็นอาชีพที่สำคัญของประเทศไทยและอินโดนีเซียอีกด้วย
8 สิงหาคม 2566
นายกรัฐมนตรี ย้ำการชุมนุมแม้เป็นสิทธิเสรีภาพ แต่ผู้ชุมนุมควรอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มเห็นต่างที่มีการเคลื่อนไหว โดยขอให้ระมัดระวังข้อกฎหมาย แม้จะเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย อย่าให้มีผลกระทบกับบุคคลอื่น สร้างความเสียหายในทรัพย์สินของทางราชการ ขณะเดียวกัน ได้เห็นภาพที่ผู้ชุมนุมปะทะคารมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแล้ว ขอความร่วมมือสื่อมวลชนอย่าไปขยายความในเรื่องนี้ แต่ต้องให้คำแนะนำว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่สมควร ย้ำทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อให้บ้านเมืองสงบ มีเสถียรภาพ มีความมั่นคง มีความปลอดภัยและลดความขัดแย้ง
นายกรัฐมนตรี ไม่ขอแสดงความคิดเห็น ต่อกรณีการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย จะทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองหรือไม่ เพราะตนเองไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองและให้พรรคการเมืองว่าไปตามกลไกของรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกคนต้องยอมรับกติกานี้ และที่ผ่านมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้ว ส่วนทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญพลเอกประยุทธ์ ย้อนถามสื่อกลับว่า มองอย่างไร ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
9 สิงหาคม 2566
พรรคเพื่อไทย แถลงร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับ 5 พรรคการเมือง ยืนยันจะร่วมเดินหน้าแก้ไขวิกฤตของประเทศ
นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงร่วมกับ 5 พรรค เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง หลังจากร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย รวมเป็น 6 พรรค ว่า ขณะนี้ได้รวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่งแล้วคือ 228 เสียง ซึ่งคาดหวังว่า การเดินหน้าทางการเมืองร่วมกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมยืนยันว่า จะเดินหน้าทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แก้วิกฤตทางการเมืองหาทางออกให้ประเทศโดยสลายขั้วทางการเมือง ขอให้ประชาชนให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และฝ่าอุปสรรคให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ด้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า มีความยินดีตอบรับคำเชิญจากพรรคเพื่อไทยในการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งมีนโยบายที่ตรงกัน 5 ข้อคือ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับ 2 จึงมีความชอบธรรมในการเสนอชื่อต่อจากพรรคอันดับ 1 ที่ไม่ผ่านการรับรองเป็นนายกรัฐมนตรี, ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย, ภายใต้แกนนำของพรรคเพื่อไทยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, พรรคมีนโยบายแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจและต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ยืนยันสนุบสนุนพรรคเพื่อไทยในการเป็นการนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีควรจบลงที่พรรคอันดับ 2 ทั้งนี้ยังแสดงจุดยืนเดิมของพรรคไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยและสนับสนุนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวศ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าววิงวอนประชาชนเกี่ยวกับการหาเสียงของพรรคการเมืองเพราะไม่ใช่นโยบายของพรรคที่จะต้องดำเนินการ ดังนั้นขอให้ประชาชนเปิดใจสนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
สส.พรรคก้าวไกล ยื่นชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศ 3 ชุด ประกอบด้วย ปลดล็อกท้องถิ่น ป้องกันการทุจริต และโอบรับความหลากหลาย
สส.พรรคก้าวไกล นำโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ และตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ร่วมยื่นเสนอร่างชุดกฎหมาย 3 ชุด จำนวน 9 ร่าง ประกอบด้วย ปลดล็อกท้องถิ่น ป้องกันการทุจริต และโอบรับความหลากหลาย ต่อประธานรัฐสภา โดยเลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า เนื่องจากการยื่นเสนอร่างกฎหมายครั้งที่แล้ว เมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 จำนวน 2 ชุดคือ การปฏิรูปกองทัพและการปิดกั้นทุนผูกขาดการค้า โดยในวันนี้ (9 ส.ค.66) ยื่นร่างกฎหมายอีกจำนวน 9 ฉบับคือ ร่างพระราชบัญญัติการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ,ร่างพระราชบัญญัติขนส่งทางบก ,ร่างพระราชบัญญัติจัดระบบถนนและกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นธรรม ,ร่างพระราชบัญญัติการเวียนคืนพื้นที่ ,ร่างพระราชบัญญัติการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ,ร่างพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกการขอใบอนุญาต ,ร่างพระราชบัญญัติการแก้ไขพระราชบัญญัติการสมรสเท่าเทียม ,ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ,ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิ์กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความแน่นอนในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ค้างการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ฉะนั้นวันที่ 3 กันยายนนี้ หากยังไม่มีการรับรองกฎหมายดังกล่าวจะต้องตกไป ฉะนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจึงอาจจะขอใช้อำนาจรัฐสภาในการหารือบรรจุในวาระประชุมกรณีจัดตั้งรัฐบาลไม่ทันต่อไป
รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมือง และรองประธานกระบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เป็นตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 46 ชนเผ่า แต่ยังไม่มีการรับรองและคุ้มครองสิทธิ์ให้กับกลุ่มคนดังกล่าว เหมือนเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและทำให้ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตหรือมีวิถีชีวิตที่มั่นคงปลอดภัย จึงฝากถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประเทศและช่วยกันผลักดันกฎหมายที่สำคัญให้ประเทศเดินหน้าต่อไป
หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบรับร่วมหารือร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยพรุ่งนี้
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมเชิญให้ร่วมรัฐบาล ว่า ตนเองได้รับการประสานงานมาว่าพรรคเพื่อไทยนัดหารือถึงแนวทางทำงานร่วมกันที่รัฐสภา วันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.66) เวลา 09.30 น. และจากนั้น จะมีแถลงข่าวร่วมกันในเวลา 10.00 น. ทั้งนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะตอบรับการรวมเป็นรัฐบาลหรือไม่ เพราะต้องขอคุยในแนวทางที่เกี่ยวข้องร่วมกันอีกครั้ง ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยเตรียมดึงเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกลให้ช่วยลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีว่า หากเป็นเช่นนั้นต้องพิจารณาอีกครั้ง แต่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ และเหตุการณ์ยังไม่เกิดจึงต้องรอดูสสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งก่อน
10 สิงหาคม 2566
เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม ชื่นชมประเทศไทยเป็นแบบอย่างการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายฮุซัยน์ บรอฮีม ฏอฮา เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) เข้าเยี่ยมคารวะ ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจสถานการณ์ในไทยได้ดีขึ้น
เลขาธิการ OIC ยินดีที่ได้มีโอกาสเยือนไทย ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกล่าวชื่นชมไทยที่ให้เสรีภาพปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน โดยเลขาธิการ OIC ได้มีโอกาสไปเยือนชุมชนกุฎีจีน ซึ่งได้สำรวจพื้นที่และพบกับผู้คนจากทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม สะท้อนถึงการเป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม พร้อมยังชื่นชม นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยในการสร้างสันติสุขและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การประชุมของ OIC ในหลายโอกาส ได้ชื่นชมความพยายามของรัฐบาลไทย รวมถึงกล่าวถึงประเทศไทยในเชิงบวกและสร้างสรรค์
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่าย ยังหารือถึงประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือกับ OIC เห็นพ้องขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยชำนาญและ OIC สนใจ ซึ่งไทยได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรไทยประจำ OIC หวังช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย - OIC ซึ่งเลขาธิการ OIC พร้อมสนับสนุนผู้แทนถาวรไทยฯ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านต่างๆ และให้ความสำคัญกับสมาชิก OIC ในภูมิภาคแอฟริกา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการเกษตร เห็นพ้องถึงความร่วมมือเพื่อการพัฒนา เสริมสร้างปฏิสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคแอฟริกา โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีร่วมมือในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ ทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สามฝ่าย
ขณะที่ เลขาธิการ OIC เชิญชวนไทยแบ่งปันความรู้ด้านการเกษตร และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับมิตรประเทศในภูมิภาคแอฟริกา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
11 สิงหาคม 2566
ขอบคุณ สส. 40 เสียงจากพรรคพลังประชารัฐ ที่จะช่วยลงมติสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยแบบไร้เงื่อนไข
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี สส.พรรคพลังประชารัฐ จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีให้พรรคเพื่อไทย ว่า ต้อง สส. ทั้ง 40 คน ของพลังประชารัฐที่จะเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันยังต้องการความสมานฉันท์และความชัดเจนในการแก้วิกฤต พร้อมย้ำว่า การทำแบบนี้ไม่ใช่การซื้อเสียง แต่เป็นการยึดวาระประชาชนเป็นหลัก ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้มีการพูดคุย แต่น่าจะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำและสามารถแก้ปัญหาได้จึงมาช่วยสนับสนุน พร้อมยืนยันหลังลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วจึงจะพิจารณาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ส่วนที่พรรคก้าวไกล ระบุว่า หากมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาร่วมรัฐบาลด้วย จะไม่ลงมติให้นั้น ส่วนตัวมองว่า หากยังอยู่ในวังวนเดิมก็จะไม่สามารถผ่านวิกฤตไปได้ ถ้ายังร่วมกับพรรคก้าวไกลได้เสียงแค่ 312 เสียง ไม่สามารถทำให้การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านไปได้ ทั้งนี้ ยังยืนยันความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลไม่ได้ทะเลาะกัน
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงโอกาสที่พรรครวไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐจะร่วมรัฐบาลเพื่อเพิ่มเสถียรภาพว่า ทุกคนมีสิทธิ์สนับสนุนให้พรรคเพื่อไทย แต่ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสามารถลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีต่อได้ พรรคเพื่อไทยยังคงจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ให้รัฐสภาพิจารณา และหากเป็นไปตามนั้น คาดว่าเดือนตุลาคมนี้ ทุกอย่างจะแล้วเสร็จทั้งการตั้งรัฐบาลและการทำนโยบาย
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอดูแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสเกี่ยวกับการร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐว่า การร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเป็นคนละเรื่องกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะได้พูดชัดเจนไปแล้วในเรื่องนี้ ส่วนการสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยมีมติในที่ประชุมภายในพรรคถึงแนวทางการเลือกซึ่งต้องดูว่าผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีมีแนวคิด แนวทางการดำเนินงานอย่างไร ส่วนในอนาคตจะมีโอกาสร่วมรัฐบาลกันหรือไม่ยังไม่ทราบและไม่ได้มีการพูดคุยกัน ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลประกาศว่าหากพรรคเพื่อไทยมี 2 พรรคร่วมรัฐบาลด้วยคือ พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ลงมติสนับสนุนให้นั้น มองว่าเป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลจะตัดสินใจ
“ธนกร” ยอมรับ “สมศักดิ์” ชวนร่วมรัฐบาล แต่ต้องไปทั้งพรรค ยืนยันไม่มีการต่อรองเก้าอี้
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่ามีการชักชวนเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตนเองกับนายสมศักดิ์ อยู่กันมานานเป็นเหมือนครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่คนละพรรคกัน แต่ความสัมพันธ์ก็เหมือนเดิม ได้พูดคุยและพบกันบ่อยครั้ง มีการคุยเรื่องการเมือง โดยคุยกันว่าถ้ามาก็ต้องมาทั้งพรรค เป็นการส่งสัญญาณมา แต่ตนเองไม่ได้อยู่ในวงเจรจาของพรรค จึงทำได้แค่ส่งสัญญาณให้พรรคทราบ ว่าทิศทางการเมืองเป็นแบบนี้ ส่วนการตัดสินใจทางพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจมีการประสานงานกันอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบ เพราะหัวหน้าพรรคยังไม่ได้บอก ซึ่งนายสมศักดิ์ ก็ไม่ได้บอกว่าคุยกับหัวหน้าพรรค เลขาพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ แต่เท่าที่ดูมีสัญญาณที่ดีเชื่อว่า การเมืองใกล้ถึงจุดที่จะจบแล้ว เท่าที่ดูบริบทต่างๆ คิดว่าอีกไม่นาน คงจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในเวลาที่เหมาะสม
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ มีเงื่อนไขอะไรในการจะร่วมรัฐบาลเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี นายธนกร กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ มีการทำงานในสภาของ สส.36 คนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ส่วนการเจรจาต่อรองต่างๆ คงจะไม่มีเพราะทำงานได้อยู่แล้ว มีการพูดคุยกันแต่คงไม่ได้ไปต่อรองอะไร ย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมติพรรค หากจะออกมาเป็นอย่างไร สส. ทั้ง 36 คนพร้อมทำตาม แม้ว่าวันนี้อาจจะมองว่ามีปัญหาอะไรในพรรคหรือไม่มีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ นั้นเพราะมาจากหลากหลายความคิดเห็นแตกต่างก็เป็นเรื่องปกติแต่เชื่อว่าคุยกันได้หมด
ทั้งนี้ส่วนตัวหากมีปัญหาอะไรแม้ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะไม่ยุ่งและเกี่ยวข้องกับพรรคแล้ว แต่ก็ยังมีการปรึกษาทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไรและพลเอก ประยุทธ์ ได้แนะนำในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทุกครั้งที่พูดไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก
ส่วนกรณีที่นายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ออกมาแถลงข่าวว่าพรรคพลังประชารัฐ จะร่วมโหวตให้กับพรรคเพื่อไทย เป็นการชิงความได้เปรียบทางการเมืองตัดหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า คิดว่าคงเป็นความชัดเจน เข้าใจว่ามีการเจรจาหารือกันอยู่แล้ว คงไม่ไปก้าวล่วงพรรคพลังประชารัฐ และคิดว่าทุกอย่างจะต้องชัดเจนจบก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย ประกาศสลายขั้วเพื่อตั้งรัฐบาลพิเศษนั้น นายธนกร ระบุว่า วันนี้ก็ต้องเห็นใจพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่างส่วนตัวมองว่า มันอาจจะถึงเวลาที่สีต่างๆ ที่หลากหลายความขัดแย้งต่างๆ ควรจะยุติได้แล้วและไม่ว่าพรรคไหนควรจะร่วมกันบริหารประเทศและมีฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลนำสิ่งที่ดีๆ ไปต่อยอดและวันนี้พรรคก้าวไกล ก็ต้องยอมรับในกระบวนการ
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
7 สิงหาคม 2566
บีโอไอจัดโรดโชว์ประเทศออสเตรเลีย ชูโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม – 4 สิงหาคมที่ผ่านมา บีโอไอ ร่วมกับคณะผู้บริหารเดินทางไปยังกรุงแคนเบอร์ราและนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยเข้าพบกับหน่วยงานด้านการค้าและการลงทุน เช่น กระทรวงการต่างประเทศและการค้า กระทรวงการคลัง สำนักงานพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย สำนักงานการลงทุนแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ หอการค้าและอุตสาหกรรมออสเตรเลีย เพื่อหารือความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมาตรการที่ประสบความสำเร็จต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มปริมาณการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ คณะยังได้พบกับบริษัท กิจการผลิตแป้งข้าวสาลีและแปรรูปอาหารรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ซึ่งสนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังแปรรูป กิจการ Data Center รายใหญ่ มีแผนเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นดิจิทัลฮับในภูมิภาค กิจการผลิตรถบัสและรถบรรทุกไฟฟ้า และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งกำลังพิจารณาแหล่งลงทุนใหม่ รวมทั้งได้หารือความร่วมมือกับผู้บริหารศูนย์นวัตกรรม Canberra Innovation Network ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุด และศูนย์เทคโนโลยี Tech Central นครซิดนีย์ ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย
สำหรับการลงทุนของประเทศออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในนักลงทุนรายสำคัญในประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556 ถึงมิถุนายน 2566) มีโครงการจากออสเตรเลียยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 203 โครงการ เงินลงทุนรวมกันกว่า 54,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัลและเคมีภัณฑ์
ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT และ BTS ส่งเสริมกิจกรรมวันแม่แห่งชาติ ยกเว้นค่าโดยสารให้คุณแม่
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็น "วันแม่แห่งชาติ" และเพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัว พร้อมร่วมรณรงค์การประหยัดพลังงานด้วยการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล(MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) จัดกิจกรรมยกเว้นค่าโดยสารให้คุณแม่ที่โดยสารด้วยรถไฟฟ้ามหานครทั้ง 2 สายทางฟรี สามารถโดยสารได้ตลอดเส้นทางและตลอดระยะเวลาการเปิดให้บริการ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2566 เพียงคุณลูกพาคุณแม่มาแสดงตัวที่ห้องออกบัตรโดยสาร เพื่อรับคูปองโดยสารรถไฟฟ้า MRT ฟรี ส่วนคุณลูกชำระค่าโดยสารปกติ
ขณะที่นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส กล่าวว่า ลูกสามารถพาคุณแม่โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรี ตลอดสายทุกเส้นทาง ทั้งส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทและสายสีลม รถไฟฟ้าสายสีทอง รวมถึงรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที ตั้งแต่ เวลา 06.00 น. – 24.00 น. โดยคุณแม่และลูกจะต้องขึ้น-ลงสถานีเดียวกัน สามารถติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรีได้ที่ ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารทุกสถานี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 ซม. อีกด้วย
ธอส. เตือนระวังกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อ-โลโก้ธนาคารหลอกลวงประชาชน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งเตือนภัยกรณีมีกลุ่มมิจฉาชีพส่งหนังสือต่างๆ ที่มีโลโก้ธนาคารไปยังลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าติดต่อผ่านช่องทางของกลุ่มมิจฉาชีพและใช้ชื่อ “ธอส.” ในการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลและปล่อยกู้เงินออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ TikTok, Facebook และ Twitter
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยืนยันว่า ธนาคารไม่มีนโยบายในการส่งหนังสือลักษณะดังกล่าวไปยังลูกค้า รวมถึงไม่มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล หรือปล่อยกู้เงินออนไลน์ผ่านช่องทางออนไลน์ในแอปพลิเคชัน จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทั้งหมดนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารอยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างแล้ว โดยธนาคารขอเตือนไปยังผู้ที่ได้รับหนังสือและผู้ที่พบเห็น Online Account ดังกล่าว อย่าหลงเชื่อกลโกง หรือดำเนินการตามที่มิจฉาชีพแจ้งอย่างเด็ดขาดและขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
8 สิงหาคม 2566
กทม. ร่วมกับ ททท. จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง 11- 31 สิงหาคมนี้
นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในงานแถลงข่าวกรุงเทพมหานครผนึกกำลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ร่วมกับภาคีภาครัฐและเอกชนอีกกว่า 50 องค์กร จัดการแสดงม่านน้ำ "แม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ" เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 91 พรรษา ในระหว่างวันที่ 11 - 31 สิงหาคมนี้ ณ อุทยานเบญจสิริ ว่า กรุงเทพมหานครได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนา ปรับปรุง อุทยานเบญจสิริ เพื่อจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษาในวันที่ 12 สิงหาคมนี้
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่่า ททท.พร้อมแล้วมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อร่วมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการกระตุ้น ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย
สำหรับผู้ที่สนใจรับชมการแสดงม่านน้ำแม่แห่งแผ่นดินผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ สามารถเดินทางเข้ารับชมความสวยงามได้ที่ อุทยานแห่งชาติเบญจสิริ โดยจะทำการเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ารับชมได้ระหว่างวันที่ 12 สิงหาคมถึง 31 สิงหาคมนี้ โดยจะมีการจัดแสดงวันละ 3 รอบ ได้แก่ รอบ 19.00 น. รอบ 20.00 น. และรอบ 21.30 น.ของทุกวัน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ช่วยเกษตรกรมีที่ทำกิน สร้างรายได้ให้มั่นคง
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการติดตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกร ปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อสร้างรายได้จากอาชีพหลักและอาชีพเสริม ให้แก่สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ โดยปีงบประมาณ 2566 กำหนดดำเนินงาน 270 พื้นที่ 65 จังหวัด เกษตรกรเป้าหมาย 13,670 ราย
ผลการดำเนินงานโครงการฯ รอบ 9 เดือน (ตุลาคม 65 - มิถุนายน 66) ภาพรวมดำเนินการได้ 176 พื้นที่ จากเป้าหมาย 270 พื้นที่ (ร้อยละ 65.19) รวม 65 จังหวัด ครบตามเป้าหมาย เกษตรกรได้รับการอบรมถ่ายทอดความรู้ 8,434 ราย จากเป้าหมาย 13,670 ราย (ร้อยละ 61.70)
ภาพรวมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความพึงพอใจต่อการดำเนินโครงการเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือด้านอื่นๆ จากหน่วยงานภาครัฐอีกด้วย ทั้งนี้ ในระยะถัดไปเห็นควรส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการของกลุ่มในด้านการผลิตและการตลาด เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนของโครงการ
งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คาดสร้างมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) พร้อมทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 20 หน่วยงาน จัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดในเอเชีย " Bangkok Gems and Jewelry Bangkok Gems ครั้งที่ 68 ในวันที่ 6-10 กันยายนนี้ (2566) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี ซึ่งงานในครั้งนี้ถือเป็นเวทีการค้าสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบไทยได้พบและเจรจาการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก สร้างเครือข่ายพันธมิตร ขยายโอกาสทางธุรกิจและความร่วมมือระหว่างกัน ตลอดจนเป็นเวทีเสริมสร้างและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถือเป็นการผลักดันสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากมีผู้ประกอบการ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมและมีการจ้างแรงงานในห่วงโซ่อุปทานกว่า 800,000 คน และมีผู้ประกอบการทั่วประเทศอยู่ราว 12,000 คน ส่วนใหญ่เป็น SMEs ร้อยละ 90 คาดการณ์มีผู้เข้าชมงานทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 (มกราคม -มิถุนายน) การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ มีมูลค่าส่งออก 4,348 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตร้อยละ 11.94 โดยคาดการณ์เป้าส่งออกปี 2566 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยหลายประเทศฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว มาตรการเปิดประเทศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
9 สิงหาคม 2566
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประกาศความสำเร็จทีม “พี่เลี้ยงโชห่วย” ช่วยรุ่นน้องเป็น “สมาร์ทโชห่วย”
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กิจกรรมการประกาศความสำเร็จในวันนี้ เป็นผลจากการลงนาม MOU ขับเคลื่อนโครงการ “สมาร์ทโชห่วย พลัส” ระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับพันธมิตร 27 หน่วยงาน 6 กลุ่ม อาทิ สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย , ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย(Supplier) , ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี/ระบบPOS , ผู้ให้บริการเสริม เช่น ตู้เติมเงินอัตโนมัติ ,สถาบันการเงิน และผู้ผลิตสินค้าชุมชนในเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการมอบสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการสมาร์ทโชห่วยพลัส ภายใต้แนวคิด “พี่เลี้ยงโชห่วย” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางของท้องถิ่นที่ช่วยกระจายสินค้าและรายได้ชุมชนให้กับคนในพื้นที่
ปีนี้มีพี่เลี้ยงโชห่วยเข้าร่วมโครงการ ทั้งสิ้น 21 ราย ครอบคลุม 4 ภูมิภาค โดยการพัฒนาผู้ประกอบการโชห่วย แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การเสริมสร้างองค์ความรู้และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ เป็นการวางรากฐานสู่การพัฒนาเป็นสมาร์ทโชห่วย โดยมีกิจกรรมการจัดสัมมนาออนไซต์ทั่วประเทศ รวม 10 ครั้ง เพื่อให้ความรู้ในด้านบัญชีและภาษี ซึ่งปีนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,900 ราย และสร้างมูลค่าการซื้อขายได้กว่า 15 ล้านบาท การพัฒนาร้านค้าโชห่วยให้เป็นสมาร์ทโชห่วย ตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการโชห่วยไทยใน 4 ภูมิภาค รวมกว่า 300 ร้านค้า ซึ่งจะช่วยร้านค้าโชห่วยให้มีภาพลักษณ์ร้านค้าที่ดีตามหลัก 5 ส (สวย สะอาด สว่าง สะดวก สบาย) มีช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด มีการใช้ระบบ POS ในการบริหารจัดการร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดโครงการสมาร์ทโชห่วยพลัส ปี 2566 คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 100 ล้านบาท ในปีนี้
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาร้านโชห่วยโดยพันธมิตรและทีมพี่เลี้ยงก็จะเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจให้มีความยั่งยืน กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู้ประกอบการโชห่วยไทยอย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณและให้กำลังใจร้านค้าโชห่วยที่ก้าวสู่การเป็นสมาร์ทโชห่วยแล้ว กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพร้อมจะสนับสนุนในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง เพราะร้านค้าโชห่วยถือเป็นหัวใจของชุมชนที่จะช่วยสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงินในชุมชนและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
10 สิงหาคม 2566
SME GP DAY รัฐพร้อมซื้อ SME พร้อมขาย คาดเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 4 แสนล้านบาท
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายในงานแถลงข่าวการจัดงาน SME GP DAY : รัฐพร้อมซื้อ SME พร้อมขาย ว่า ตามมาตรการ THAI SME-GP เป็นมาตรการสำคัญที่กรมบัญชีกลาง ร่วมกับ สสว. สนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้ง่ายขึ้น โดยกำหนดให้ SME มีแต้มต่อด้านราคาร้อยละ 10 และหากได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) จะได้รับแต้มต่อเพิ่มอีกร้อยละ 5 โดยที่ SME ที่ได้รับสิทธิจะต้องขึ้นทะเบียนในระบบ THAI SME-GP แล้ว
ในปี 2565 สสว.เผยแพร่มาตรการ มี SME เข้ามาลงทะเบียนในระบบกว่า 150,000 ราย มีสินค้าและบริการให้เลือกซื้อกว่า 1,100,000 รายการ โดยที่ผ่านมาการจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ที่อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 30 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 41 ของวงเงินการจัดซื้อจัดจ้าง สสว.จึงได้ผลักดัน SME เข้าสู่ตลาดภาครัฐให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 สสว. ได้จัดกิจกรรม Roadshow ทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงตลาดภาครัฐและขยายขอบเขตไปยังภาคเอกชน โดยมุ่งหวังให้ SME สามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างได้เพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 45 ของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดและมีเป้าหมายจะพักดันไปจนถึงร้อยละ 50 โดยการจัดงานครั้งนี้ สสว. คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายและโอกาสทางธุรกิจภายใต้โครงการได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท และจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 4 ล้านบาท
สำหรับงาน SME GP DAY : รัฐพร้อมซื้อ SME พร้อมขาย จะจัดขึ้นในวันที่ 24-26 สิงหาคม 2566 ณ HALL 8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถเข้าร่วมงานได้ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.- 21.00 น. ทั้งนี้ ภายในงานยังมีไฮไลท์ต่างๆ เพื่อให้บริการผู้ประกอบการตลอด 3 วัน อาทิ การบริการขึ้นทะเบียน THAI SME-GP และ SME ONE ID การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายธุรกิจและการพัฒนาธุรกิจแบบครบวงจร
มะพร้าวไทยขยายตัวสูงในจีน ไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในช่วง 5 เดือนแรก ปี 2566 (มกราคม – พฤษภาคม) จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 33,455.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึงร้อยละ 76.70 โดยสินค้าผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน อีกทั้งยังมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ส่งออกสูงภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มากกว่า 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ สินค้ามะพร้าว ยังเป็นหนึ่งในสินค้าผลไม้จากไทยที่มีการขยายตัวสูงในจีน โดยในช่วงกลางไตรมาส 2 ของปี 2566 สินค้ามะพร้าวทั้งกะลา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ส่งออกไปจีน สูงถึง 187.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจีนมีการนำเข้ามะพร้าวทั้งกะลาจากไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งการนำเข้าโดยใช้สิทธิ ACFTA ทำให้ไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจีนเหลือร้อยละ 0 จากเดิมที่จะต้องเสียภาษีร้อยละ 60
สำหรับกรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด รองลงมาคือ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ขณะที่ ความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม – เมษายน 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศคือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 570.34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 81.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าทางด้านภาษี อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพ ขีดความสามารถให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ อย่างไรก็ตาม สินค้าที่จะส่งออกจะต้องมีมาตรฐาน คุณภาพดีและเป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดเพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี หากผู้ส่งออกมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทรสายด่วน 1385
ททท. ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงความรู้ มุ่งสู่ระบบนิเวศการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้สร้างสรรค์ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงความรู้ (Knowledge based-Tourism) เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการทำงานและการให้บริการความรู้ของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมุ่งสู่ระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวใหม่ที่มีความสมดุล ทั้งมิติความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มิติสังคมอยู่ดีมีสุข มิติสิ่งแวดล้อมที่ดีและมิติภูมิปัญญา โดยจะนำไปสู่การนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์และแปลกใหม่ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งได้คัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่มีความพร้อมและมีขีดความสามารถในการพัฒนาและต่อยอดการเรียนรู้ เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ“การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงความรู้ ซึ่งจะจัดนำร่องในพื้นที่จังหวัดลำปางระหว่างวันที่ 23-26 กันยายนนี้ (2566) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้มีทักษะในการออกแบบการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพื่อนำไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงความรู้ต่อไป
ด้านนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กล่าวว่า สำหรับการร่วมมือครั้งนี้จะนำกระบวนการจัดการความรู้มาช่วยต่อยอดในการพัฒนาและสร้างสรรค์พื้นที่เมืองและชุมชน ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ บนฐานความรู้หลากหลายมิติที่มีคุณค่าและสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว
11 สิงหาคม 2566
“ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี” เฉลิมพระเกียรติ 12-20 สิงหาคมนี้
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวถึงการจัดงาน “ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี” ภายใต้แนวคิด "ผ้าทอไทย สายใยแห่งพระเมตตา สร้างอาชีพปวงประชา อย่างยั่งยืน" 12 – 20 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-21.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ว่า การจัดงานดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้ทรงอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย โดยทรงเพียรพยายามปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างยาวนานมากกว่า 50 ปี จนกำเนิดเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพและยิ่งเป็นความโชคดีของปวงชนชาวไทยที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานที่มุ่งมั่นแน่วแน่ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการทรงเข้ามาสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยพระราชทานโครงการ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ด้วยพระองค์ท่านทรงมุ่งหวังในการที่จะช่วยเหลือพสกนิกรให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การจัดงานฯ ในครั้งนี้ ยังเป็นการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน การจัดงานในครั้งนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการผ้าไทยและผู้จัดจำหน่ายสินค้าโอทอปจำนวนมากจากทั่วประเทศ และงานในครั้งนี้ยังทำให้ผู้ประกอบการสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลชุดความรู้ระหว่างผู้ประกอบการผ้าไทยและสินค้าโอทอปทั่วทุกภูมิภาค ยังผลให้เกิดการขับเคลื่อนพัฒนาต่อยอดในด้านช่องทางการตลาด อันจะเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ด้วยนวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ ภายในงาน มีการร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณนิทรรศการเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
หากสนใจสามารถเข้าร่วมงาน "ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจด้วยพระบารมี" ปี 2566 ได้ที่ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่วันที่ 12 – 20 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-21.00 น.
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมลดลงครั้งแรกในรอบ 14 เดือน กังวลการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคม 2566 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน อยู่ที่ระดับร้อยละ 55.6 เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและในอนาคต ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวลดลง
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมและดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 50.3 52.7 และ 63.9 ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนมิถุนายน แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนเศรษฐกิจไทย
สำหรับปัจจัยลบที่สำคัญคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.25 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ ลงเหลือร้อยละ 3.5 จากเดิมร้อยละ 3.6 จากผลของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่อาจจะกระทบต่อการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ความกังวลต่อภาวะภัยแล้งและเอลนีโญ ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่วนปัจจัยบวก ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นหลังการเปิดประเทศ ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในภูมิภาคและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศยังทรงตัว เงินบาทแข็งค่า สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 3.5 ซึ่งหากได้ความชัดเจนของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมทั้งแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ ก็จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่อีกครั้ง และผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูงโดยเฉพาะค่าไฟฟ้ารวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลงและมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าเที่ยวฟรี ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
นายประยูร พงศ์พันธ์ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เปิดเผยว่า 12 สิงหาคมนี้ ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่เปิดให้ประชาชนนักท่องเที่ยวชาวไทยได้เข้าท่องเที่ยวฟรี ส่วนชาวต่างชาติเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าท่องเที่ยวในอัตราเด็กคนละ 150 บาท และผู้ใหญ่คนละ 300 บาท
ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยว เข้ามาชมความสวยงามของจุดชมวิวผาจันจรัส ชมความงดงามของลากูนทะเลในของเกาะแม่เกาะ ประมาณ 900 กว่าคน ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติและมีการเข้ามานอนพักแบบกางเต้นท์บนอุทยาน เพื่อตื่นมาชมวิถีชีวิตน้องค่างแว่นถิ่นใต้ ที่จะออกมาโชว์ความน่ารักให้นักท่องเที่ยวได้ชมในช่วงเช้าๆ ของทุกวัน ซึ่งระยะนี้มีประมาณ 20-30 ตัว
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง กล่าวอีกว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว ได้มีการจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบเรือนำเที่ยวเพื่อให้มีการปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ในการอนุญาตให้ผู้ประกอบการนำเรือเข้ามาดำเนินกิจการต่างๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล โดยได้จัดทำสติกเกอร์และติดแสดงไว้เป็นสัญลักษณ์บนเรือที่ได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ รวมทั้งจัดส่งนักดำน้ำออกปฏิบัติงานตรวจสอบและซ่อมบำรุงทุ่นจอดเรือ บริเวณแหล่งท่องเที่ยวหาดสามเส้าและเกาะแม่เกาะ โดยการดำน้ำตรวจสภาพและซ่อมแซมฐานทุ่น ห่วงยึดโยงและอุปกรณ์อื่นๆ พร้อมทั้งปรับปรุงทุ่นลอยและเปลี่ยนเชือกโยง ให้มีความความแข็งแรงและปลอดภัยในการท่องเที่ยวตลอดเวลา พร้อมย้ำว่า ช่วงนี้สภาพอากาศทะเลอ่าวไทยมีคลื่นลมเล็กน้อย ท้องฟ้าแจ่มใสและไม่มีฝนตก ขอเชิญนักท่องเที่ยวไปเที่ยมชมความสวยงามของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองได้ตลอดเวลา
สังคม
7 สิงหาคม 2566
ดีอีเอสแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม "เด็กแรกเกิด – 6 เดือน รับเงิน 1,200 บาท ใช้บัตรประชาชนใบเดียว"
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม โดยพบว่าข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจและถูกส่งต่อมากที่สุดในรอบสัปดาห์ (28 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม 2566 ) คือ เรื่องเด็กแรกเกิด - 6 เดือน รับเงิน 1,200 บาท ใช้บัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นเพียงนโยบายหาเสียงจากพรรคการเมืองเท่านั้น
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามความเคลื่อนไหวข้อความที่ผิดปกติในทุกช่องทางและได้มีการติดตามการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพในทุกรูปแบบ โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ที่ ไลน์
@antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com และโทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง
กรมการขนส่งทางบก เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อเพจมิจฉาชีพรับทำหรือต่ออายุใบขับขี่ออนไลน์
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตรวจสอบเพจมิจฉาชีพรับทำหรือต่ออายุใบขับขี่ปลอมที่กำลังระบาดอยู่ในโลกออนไลน์ในขณะนี้และดำเนินการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อีกทั้งประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแจ้งเรื่องร้องเรียน หรือเบาะแสมายังกรมการขนส่งทางบก และได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 491 ราย
กรมการขนส่งทางบก ยังตรวจพบเพจมิจฉาชีพ ผ่านเพจ facebook มีพฤติกรรมจะนำรูปตราสัญลักษณ์กรมการขนส่งทางบกมาใส่ในรูปโปรไฟล์ หรือนำรูปภาพของผู้ที่ได้รับใบขับขี่มาแอบอ้าง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอยู่ที่ประมาณ 1,500 - 6,000 บาท ซึ่งแพงกว่าค่าธรรมเนียมในการทำใบขับขี่ที่ถูกต้อง ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎหมายกำหนด (รวมค่าคำขอ) ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 205 บาท ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 105 บาท ในส่วนการต่ออายุใบขับขี่สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า
กรมการขนส่งทางบก ขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อทำธุรกรรมกับเพจเหล่านี้เด็ดขาดจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินและเอกสารส่วนบุคคล และเสี่ยงได้รับใบขับขี่ปลอม ซึ่งผู้หลงเชื่อจะมีความผิดฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษถึงขั้นจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ส่วนบุคคลที่จัดทำเพจเฟซบุ๊กปลอมรับทำและรับอบรมต่อใบขับขี่ปลอมต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ประชุมวิชาการมหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ สร้างภูมิคุ้มกัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเปิดงานประชุมวิชาการเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ว่า กระทรวงสาธารณสุข ประกาศให้ปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทยเนื่องจากเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ อัตราส่วนของผู้สูงวัยในโลกนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้น ไม่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งประชากรผู้สูงอายุไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นร้อยละ 20 ของประชากรหรือประมาณ 13.5 ล้านคน ไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน สิ่งที่ตนเองผลักดันได้ ในฐานะที่อยู่ในสภาคือ เร่งผลักดันให้เกิดกฎหมายสวัสดิการผู้สูงวัย เกิดโครงการที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้นเพื่อผู้สูงอายุ สมัยก่อนมี 1 ตำบล 1 รพ.สต. 1 ตำบล 1 ทุนแพทย์ จะต้องมี 1 ตำบล 1 บ้านพักผู้สูงอายุ ก็ต้องทำให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในประเทศนี้ ต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ ความสะดวกสบาย การคมนาคม และทุกด้านอย่างครบวงจร นับเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องช่วยกันต่อไป
สำหรับการประชุมวิชาการเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ ครั้งที่ 4 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันนี้ถึงวันที่ 9 ส.ค.นี้ โดย สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ ได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีได้เปลี่ยนเรียนรู้เสริมความรู้และทักษะด้านเวชศาสตร์วิทยาการสูงวัยในทุกมิติที่ทันสมัยเสริม องค์ความรู้และความพร้อมให้กับบุคลากรทุกสาขาวิชาชีพชุมชนครอบครัวเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันก้าวสู่สูงวัยอย่างมีคุณภาพต่อไป
8 สิงหาคม 2566
กรมศิลปากรระงับการปรับปรุงภูมิทัศน์ หวั่นกระทบต้นพระศรีมหาโพธิ์อายุกว่า 200 ปี
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า จากกรณีวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ปรับภูมิทัศน์เทคอนกรีตเต็มลาน สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ อายุกว่า 200 ปี ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน นับแต่สมัยรัชกาลที่ 2 นั้น ล่าสุดได้มอบหมายให้ภูมิสถาปนิก ผู้อำนวยการกลุ่มภูมิสถาปัตยกรรม สำนักสถาปัตยกรรม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับภูมิทัศน์ลงพื้นที่เข้าไปสำรวจและหารือกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อถวายคำแนะนำ
เบื้องต้นได้ให้วัดระงับการดำเนินการและให้สกัดคอนกรีตที่เทบริเวณลานต้นพระศรีมหาโพธิ์ออกก่อน โดยขอให้ส่งรูปแบบการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานต้นพระศรีมหาโพธิ์และการปลูกต้นไม้บริเวณดังกล่าวให้กรมศิลปากร เพื่อพิจารณาแนวทางการปรับปรุงภูมิทัศน์ก่อนอนุญาตให้ดำเนินการตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ดังกล่าว มีประวัติเชื่อมโยงถึงสมัยพุทธกาล ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกา และโปรดฯ ให้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกที่ลังกา ต่อมารัชกาลที่ 2 ได้ส่งสมณทูตออกไปสืบทอดพระศาสนาที่ลังกาทวีป กษัตริย์ลังกาได้พระราชทานหน่อต้นโพธิ์ลังกาพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์มาถวายรัชกาลที่ 2 จำนวน 3 หน่อ ทรงโปรดให้ปลูกไว้ที่วัดสุทัศน์ วัดมหาธาตุ และหน้าพระอุโบสถ วัดสระเกศด้วยพระองค์เอง และพระราชทานน้ำสรงต้นพระศรีมหาโพธิ์ในวันสงกรานต์ นับเป็นโบราณราชประเพณีปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี
9 สิงหาคม 2566
กระทรวงแรงงานสร้างอาชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเปิดตัวโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “สร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แรงงานไทย” ว่า จากวิกฤตโควิด-19 จะเห็นว่าผู้ที่มีศักยภาพในการทำการตลาดออนไลน์ได้รับผลกระทบน้อย หลายรายสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงแรงงานจึงต้องการเสริมศักยภาพให้แรงงานนอกระบบ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านอาชีพ ด้วยการเปิดฝึกอบรมเพิ่มความรู้และเสริมทักษะที่ทันสมัยในการประกอบอาชีพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถนำไปเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือบริการ รวมถึงเพิ่มช่องทางการตลาดในการสร้างรายได้ จึงขอจัดสรรงบประมาณกลางเพื่อทำโครงการดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายคือแรงงานนอกระบบทั่วประเทศ ตั้งเป้าจัดฝึกอบรม จำนวน 231 รุ่นๆ ละ 100 คน ฝึกอบรมไม่ต่ำกว่า 25,410 คน กระจายทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีแผนงานดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 เดือนต่อจากนี้ จึงได้ทำการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 400 คน เพื่อซักซ้อมความรู้ความเข้าใจแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อส่งเสริมผลักดันให้แรงงานนอกระบบมีทางเลือกในการพัฒนาศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้ตรงกับความต้องการและนำไปใช้ต่อยอด สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในระยะยาวของการดูแลสวัสดิภาพแรงงานนอกระบบที่มีอยู่กว่า 20 ล้านคน ที่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับ กระทรวงแรงงานจึงได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาแรงงานนอกระบบ ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และรอเข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภา ซึ่งหากกฎหมายมีผลใช้บังคับก็จะช่วยให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าถึงสวัสดิการและหลักประกันขั้นพื้นฐาน มีกองทุนเพื่อแรงงานนอกระบบให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งได้รับการส่งเสริมคุ้มครองและพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ในแต่ละปี กรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังคงเดินหน้าจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะและสร้างโอกาสทางอาชีพให้แก่ประชาชนต่อเนื่อง ซึ่งผู้ผ่านการฝึกจะได้รับเกียรติบัตรรับรอง การันตีคุณภาพด้วย
กระทรวงแรงงานชวนคนไทยร่วมงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ” 18 สิงหาคมนี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้คนไทยทุกกลุ่มมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้และจากสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าการมีรายได้จากงานประจำทางเดียวไม่แน่นอนอีกต่อไป กระทรวงแรงงานจึงกำหนดจัดงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ”ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัยที่มีความสนใจประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงบริการภาครัฐ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับประชาชน เปิดโลกทัศน์ด้านอาชีพ ให้ได้รู้จักอาชีพใหม่ๆ ในยุคปัจจุบัน โดยมีการทดลองฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ เพื่อจุดประกายความคิดให้สามารถเลือกอาชีพเสริมที่มีความชอบ ความถนัดและเหมาะสมกับตนเอง จนสามารถสร้างรายได้เสริมให้กับตนเองและครอบครัว หรืออาจประสบความสำเร็จจนกลายเป็นอาชีพหลักต่อไปได้
สำหรับภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การเสวนาโดยผู้นำกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน การมอบโล่รางวัลแก่กลุ่ม Best Practice และการมอบเกียรติบัตรแก่ครูแนะแนวอาชีพของ รวมถึงการสาธิต/ฝึกปฏิบัติการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 50 อาชีพ การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจฟู้ดทรัค และการจำหน่ายสินค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านจากทั่วประเทศ
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เหตุผลสำคัญของการจัดงานอาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ จุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักกลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน มองเห็นโอกาสจากการมีอาชีพเสริม โดยนำกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีความเข้มแข็งจนประสบความสำเร็จ มาให้ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ ให้กับประชาชนที่ต้องการหาแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพเสริม
ขอเชิญนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ทุกคนที่กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพอิสระ ร่วมงานในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ อาคารกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
10 สิงหาคม 2566
กระทรวงแรงงานงาน ส่งชุดตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบคนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีพบข้อร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนว่ามีแรงงานต่างชาติเข้ามาประกอบอาชีพเร่ขายสินค้า ทั้งรถเข็นขายสินค้าบนฟุตบาทและมอเตอไซค์พ่วงข้าง ย่านอนุสาวรีชัยสมรภูมิและซอยอารีย์ เป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ กระทรวงแรงงานขอย้ำเตือนว่างานเร่ขายสินค้า เป็นอาชีพที่คนต่างชาติห้ามทำโดยเด็ดขาด ซึ่งระบุไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ซึ่งหลังทราบเรื่องไม่นิ่งนอนใจได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติบริเวณพื้นที่ดังกล่าว พบว่ามีร้านค้าแผงลอยและรถเข็นผลไม้ที่มีคนลักษณะคล้ายคนต่างด้าวกำลังทำงานอยู่ จำนวน 4 ร้าน จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบเอกสารหลักฐาน พบนายจ้างกระทำความผิดรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน จำนวน 2 ราย และคนต่างด้าวกระทำความผิด จำนวน 5 คน ประกอบด้วยสัญชาติเวียดนาม 2 คน สัญชาติลาว 2 คน และสัญชาติกัมพูชา 1 คน ในจำนวนนี้ 3 คน มีเอกสารการเข้าเมืองถูกต้องแต่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ส่วนอีก 2 คน ไม่มีเอกสารใดๆ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงแจ้งข้อกล่าวหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานและข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับงานที่ห้ามแรงงานต่างด้าวทำมีทั้งสิ้น 40 งาน แบ่งเป็น งานที่ห้ามทำเด็ดขาด 27 งาน และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้โดยมีเงื่อนไข 13 งาน ซึ่งงานเร่ขายสินค้า เป็นงานที่ห้ามทำเด็ดขาด หากฝ่าฝืน คนต่างด้าวทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน
หากประชาชนพบเห็นการจ้างคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมาย หรือพบคนต่างชาติลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย โปรดแจ้งเบาะแสมาที่กรมการจัดหางาน โทร. 023541729 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนโทร.1506 กด 2 หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน
กระทรวงวัฒนธรรม นำคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย 7 ประเทศ คณะกรรมการมรดกโลก ชมศักยภาพเมืองโบราณศรีเทพ
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเปิดกิจกรรมสำหรับสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศที่เป็นคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อประเมินและเปรียบเทียบแหล่งประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่เป็นมรดกโลกและอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ว่า จากการที่ประเทศไทยได้เสนอเมืองโบราณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นมรดกโลก หลังจากที่ได้รับบรรจุอยู่ในบัญชีเบื้องต้นขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
มานานเกือบ 10 ปี ซึ่งการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 10 - 25 ก.ย.นี้ ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จะมีการพิจารณาเมืองโบราณศรีเทพของไทย หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีผู้แทนของยูเนสโกได้ลงพื้นที่ประเมินศักยภาพความพร้อมทุกด้าน ประกอบกับเอกสารการขอขึ้นทะเบียนทั้งหมดได้รับการประเมินและผ่านการตรวจสอบสำหรับการอนุมัติขั้นสุดท้ายแล้ว
สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นไปตามคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำยูเนสโก ในฐานะคณะกรรมการมรดกโลก ในการนำคณะทูตประจำประเทศไทยซึ่งเป็นผู้แทนของประเทศสมาชิกได้เยี่ยมชมสถานที่จริงแสดงถึงความพร้อมของไทย ซึ่งครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก 7 ประเทศสมาชิก ได้แก่ อาร์เจนตินา เบลเยียม อียิปต์ อินเดีย อิตาลี เม็กซิโก และไนจีเรีย ร่วมกิจกรรม ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะขอเสียงสนับสนุนการขึ้นทะเบียนของประเทศไทย คาดหวังว่าจะได้รับข่าวดีหลังจากที่แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของไทยยังไม่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมานานกว่า 20 ปีแล้ว
11 สิงหาคม 2566
กระทรวงการต่างประเทศ เร่งประสานและช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่เกิดภัยพิบัติไฟป่าในรัฐฮาวาย
นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงการดำเนินการในด้านของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสถานการณ์ภัยพิบัติไฟป่าในรัฐฮาวาย โดยเฉพาะในบริเวณเกาะเมาอิ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ขณะนี้สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานสถานะความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (10 ส.ค. 66) ว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุไฟป่า 53 คน โดยจากข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2020 รายงานว่ามีจำนวนคนไทยอยู่ในรัฐฮาวาย ประมาณ 5,000 คน แต่จำนวนคนไทยในพื้นที่เกาะเมาอิ ยังไม่ชัดเจนว่ามีทั้งสิ้นกี่คน และจากการประสานกับคนไทยในพื้นที่ขณะนี้ ทราบว่ามีคนไทยจำนวนหนึ่งอพยพไปยังศูนย์ที่พักฉุกเฉินของทางการแล้ว ในขณะที่บางส่วนอพยพไปอยู่กับเพื่อนในพื้นที่ปลอดภัยอื่นๆ รวมถึงได้แจ้งให้ชุมชนคนไทยในพื้นที่ ช่วยแจ้งข้อมูลให้ชาวไทยติดต่อสถานกงสุลใหญ่ฯ ผ่านช่องทางกลุ่ม “Maui Rescue” ในแอปพลิเคชันไลน์ และทราบว่านักศึกษาจำนวน 12 คนที่เดินทางมา Work and travel ที่เกาะฮาวาย ในขณะนี้ได้พำนักอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบางส่วนที่ทำหนังสือเดินทางสูญหายจากเหตุไฟป่า แต่สถานกงสุลใหญ่ฯ จะช่วยเหลือและดูแลในด้านที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับผู้ที่มีญาติพี่น้องอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุภัยพิบัติดังกล่าว สามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดต่างๆ ผ่านทางกรมการกงสุลและสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้ด้วยช่องทางการเพิ่มเพื่อน @thaiconsulate.la ในแอปพลิเคชันไลน์
เชิญประชาชนร่วมงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ” 18 สิงหาคมนี้
นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยทุกกลุ่มมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้และจากสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าการมีรายได้จากงานประจำทางเดียวไม่แน่นอน กระทรวงแรงงานจึงกำหนดจัดงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ”ในวันที่ 18 สิงหาคม 2566 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัยที่มีความสนใจประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงบริการภาครัฐ สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับประชาชน เปิดโลกทัศน์ด้านอาชีพ ให้ได้รู้จักอาชีพใหม่ๆ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่มาร่วมงานจะได้ทดลองฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ เพื่อจุดประกายความคิดให้สามารถเลือกอาชีพเสริมที่มีความชอบ ความถนัดและเหมาะสมกับตนเอง ที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้เสริมให้กับตนเองและครอบครัว หรืออาจประสบความสำเร็จจนกลายเป็นอาชีพหลักต่อไป
นอกจากนี้ ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การเสวนาโดยผู้นำกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน การสาธิต/ฝึกปฏิบัติการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 50 อาชีพ คลินิกให้คำแนะนำอาชีพ การไปทำงานต่างประเทศ การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจฟู้ดทรัค และการจำหน่ายสินค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านจากทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักการรับงานไปทำที่บ้าน โดยมีกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีความเข้มแข็งจนประสบความสำเร็จ มาให้ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ ให้กับประชาชนที่ต้องการหาแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพเสริม
กรมการจัดหางาน ขอเชิญนักเรียน นักศึกษา ประชาชนและทุกคน ที่กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพอิสระ ร่วมงาน “อาชีพอิสระ เพื่อคนไทยมีงานทำ” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันที่ 18 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.-16.00 น. ณ อาคารกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
สภาผู้บริโภคออกแถลงการณ์ เรียกร้องธนาคารต้องระงับบัญชีม้าชั่วคราวทันที หลังรับแจ้งถูกโจรกรรมดูดเงินจากบัญชี
สภาผู้บริโภค ออกแถลงการณ์ เร่งรัดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ธนาคารเอกชนและธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีการช่วยเหลือประชาชน คุ้มครองผู้บริโภค ที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางเทคโนโลยี ที่หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ สูญเสียเงินบัญชีในธนาคารไปเป็นจำนวนมาก และล่าสุดมิจฉาชีพได้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน ลวงผู้ประกาศข่าวสื่อทีวี ประวีณามัย บ่ายคล้อย ตกเป็นเหยื่อจนสูญเสียเงินถึง 1 ล้านบาท โดยเรียกร้องให้ธนาคาร สถาบันการเงินที่มีอำนาจหน้าที่ ตามพระราชกำหนดมาตการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ที่มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ให้สถาบันการเงินระงับบัญชีนั้นชั่วคราวนั้นไว้ 72 ชั่วโมงในทันทีที่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เจ้าของบัญชี ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง หรือกระทำเข้าข่ายก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีบัญชีเงินในธนาคาร เพื่อระงับ ยับยั้ง การโอนเงิน และความเสียหายจากการสูญเสียเงินของประชาชน ผู้บริโภค เนื่องจากที่ผ่านมาหลังยังมีธนาคารหลายแห่งไม่ระงับธุรกรรมบัญชีที่ต้องสงสัยทันที ความล่าช้าที่ผู้เสียหายต้องเข้าแจ้งความก่อน จึงกลายเป็นช่องว่างให้อาชญากรโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหาย แล้วโอนต่อไปยังบัญชีม้าอีกหลายทอดได้อย่างรวดเร็ว มีผลให้ไม่สามารถติดตามรับเงินคืนได้
สภาผู้บริโภค ขอให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องได้ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด หน้าที่และขั้นตอนอย่างชัดเจน อย่างเคร่งครัด ในการระงับบัญชีชั่วคราวทันทีหลังรับแจ้งและให้ธนาคารนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ หรือกระบวนการเปิดเผย หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนเงินทุกทอดทราบและระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ทันที เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา พร้อมเรียกร้องให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบ เยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายในกรณีหากความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากการไม่ระงับบัญชีต้องสงสัยดังกล่าว
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ สภาองค์กรของผู้บริโภค ยังขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เร่งติดตามผู้ที่ขายข้อมูลกรมที่ดินจนมิจฉาชีพนำข้อมูลหลอกเหยื่อและเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง อาจมีเจ้าพนักงานกรมที่ดินมีส่วนรับรู้ ดีเอสไอ ควรติดตามตัวนำมาลงโทษ
กรมการจัดหางาน ย้ำมติ ครม. ขยายเวลาแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติอยู่และทำงานในไทยได้ถึง 30 กันยายนนี้
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากปัญหาช่วงรอยต่อการเปลี่ยนรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ทำให้แรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่หมดเวลาการอนุญาตให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 และยังไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายได้นั้น ครม.เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาได้มีมติขยายระยะเวลาให้แรงงานกลุ่มนี้สามารถอยู่และทำงานในราชอาณาจักรต่อไปได้โดยไม่ผิดกฎหมายถึง 30 กันยายน 2566 นี้ แต่ต้องเป็นแรงงานต่างด้าวที่ได้ยื่นบัญชีรายชื่อไว้ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 มีหลักฐานการยื่นบัญชีรายชื่อถึงวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการอนุญาตให้ทำงานต่อไปได้ในราชอาณาจักรไทย หากไม่ได้ขึ้นบัญชีไว้ถือเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และห้ามขอรับใบอนุญาตทำงานในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลา 2 ปี ส่วนนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัญชีรายชื่อ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000- 100,000 บาทต่อต่างด้าว 1 คน และจะถูกห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวอีกเป็นเวลา 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตัดสินเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตาม การขยายเวลาตามมติ ครม.จะเริ่มมีผลเมื่อประกาศเรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับแรงงาน 4 สัญชาติ ของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ประกาศและมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนและนายจ้างทั่วไปที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย สามารถยื่นนำเข้าแรงงานต่างด้าวตามระบบได้ โดยติดต่อที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่กรุงเทพฯ หรือกรมการจัดหางาน
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว