สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (17-21 กรกฎาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (17-21 กรกฎาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
17 กรกฎาคม 2566
สมาชิกวุฒิสภา เร่งดำเนินคดีต่อผู้คุกคามสิทธิ เหตุจากไม่เห็นชอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
คณะสมาชิกวุฒิสภา นำโดยนายเสรี สุวรรณภานท์ สมาชิกวุฒิสภา และทีมทนายความแถลงข่าว เรื่องการถูกคุกคามและได้รับความเสียหายจากสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์และการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทางกฏหมาย โดยนายเสรี สุวรรณภานท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการลงมติเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีในการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทำให้เกิดลักษณะการคุกคามข่มขู่จากบุคคลบางกลุ่มต่อ ส.ส.และ ส.ว.ที่ลงมติไม่เห็นชอบนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้ส่งผลต่อสิทธิส่วนบุคคลของ ส.ว. รวมไปถึงครอบครัวและกิจการส่วนตัวด้วย ดังนั้น ส.ว.จึงมีความเห็นต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ เป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวให้ร้ายผู้อื่น ใช้ถ้อยคำหยาบคายดูหมิ่นและทำให้บุคคลเกิดความเกรงกลัว ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจนลุกลามเป็นวงกว้างนั้น ถึงเวลาแล้วที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวที่มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ขอแสดงจุดยืนว่าจะไม่ยอมให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวกระทำสิ่งเลวร้ายทำลายชาติ ทำลายวิถีชีวิตที่ดีงามของสังคมไทย รวมถึงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเบื้องต้นได้ฟ้อง 2 คดี ต่อนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และนายภัทรพงศ์ ศุภักษร ทนายความ ต่อไปจึงจะไล่ดำเนินการต่อผู้กระทำการคุกคามต่อไป
ประธานวุฒิสภา ชี้แจงเหตุ ส.ว. ลาประชุมในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมขอ ส.ว.หยุดให้ความเห็นกรณีการแก้รัฐธรรมนูญ ม.272
การประชุมวุฒิสภา วันนี้(17 ก.ค.) เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 09.48 น. โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระ ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมกรณีกระแสข่าวกรณีการลาประชุมของสมาชิกวุฒิสภา ระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนการประชุมวุฒิสภาว่า ขอชี้แจงใน 3 ประเด็น ประกอบด้วยการลาประชุมของสมาชิกวุฒิสภา ตามรายงานการลาประชุม ซึ่งมีเหตุแก่การลา 3 ประเภทคือ การไปราชการต่างประเทศของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งในฐานะประธานรัฐสภาขณะนั้น ได้มอบหมายให้สมาชิกวุฒิสภา 2 คนเดินทางเข้าร่วมประชุม ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการ AIPA
ส่วนการลากิจของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำเหล่าทัพ จำนวน 6 คน เนื่องจากติดราชการสำคัญประกอบกับการประชุมให้ความเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีที่มีเพียงวาระเดียว และผู้นำเหล่าทัพได้พิจารณาแล้วแจ้งว่ายังอยู่ในราชการจึงไม่ประสงค์เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
ขณะที่การลากิจของสมาชิกวุฒิสภาคนอื่นๆ มีจำนวน 9 คน ส่วนใหญ่เป็นภารกิจที่ไม่ทราบวันประชุมมาก่อนและยังอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากมีภารกิจ ที่นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว การลาป่วย มีสมาชิกแจ้งลาป่วยจำนวน 16 คน ดังนั้นการลาของสมาชิกวุฒิสภาจึงรวมกันทั้งสิ้น 33 คน กรณีการลงมติ ซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาไม่ลงมติจำนวน 43 คน เป็นสมาชิกที่แจ้งลา 33 คน จึงแสดงว่ามีสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม แต่ไม่ลงมติจำนวน 10 คน
สำหรับกรณีที่เลขาธิการวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา ได้แจ้งว่า มีบุคคลเข้าไปคุกคามและละเมิดความเป็นส่วนตัวของสมาชิกและครอบครัว เช่น เข้าไปตรวจสอบสถานที่อยู่อาศัย สถานที่ทำธุรกิจของบุคคล โดยใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมและมีการข่มขู่ให้เกิดความกลัว ในฐานะประธานวุฒิสภา เห็นว่า มีหน้าที่ต้องคุ้มครองดูแลสมาชิกให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของตัวเองและครอบครัว จึงได้ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการช่วยดูแลสมาชิก ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งและหวังว่า ผู้ที่ทำการลักษณะคุกคามหรือแทรกแซง เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพื่อไม่ให้มีความผิดทางอาญาในอนาคต
ส่วนที่มีข่าวว่า จะมีการยื่นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 พิจารณาแล้ว เห็นว่า สมาชิกวุฒิสภา ไม่สมควรที่จะแสดงความคิดเห็นโต้ตอบการดำเนินการเรื่องดังกล่าว เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้ว เราจึงจะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างผู้ที่มีวุฒิสภาวะ กลั่นกรองกฎหมายที่นำเสนอ เราไม่ควรโต้แย้งทางความคิดถึงโต้ตอบต่อผู้ที่อยู่ในสภาวะไม่พอใจทางการเมือง แล้วเสนอกฎหมายนี้ ดังนั้นเมื่อกฎหมายถูกเสนอเข้ามาแล้ว ค่อยพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อให้การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เป็นไปด้วยความถูกต้องตามหลักการ
18 กรกฎาคม 2566
ที่ประชุมวิปวุฒิสภา ตัวแทนพรรคการเมือง ยังไม่ได้ข้อสรุปเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดเผยภายหลังการประชุมระหว่างวิปวุฒิสภาและตัวแทนพรรคการเมือง เพื่อหารือแนวทางการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้สมควรได้แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค. 66) ว่า ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะสามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่ เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงของสมาชิกเรื่องการเสนอชื่อนายพิธา โดยเห็นว่า ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ที่ว่าญัตติใดที่เสนอไปแล้วเป็นอันตกไป ดังนั้นกรณีนายพิธา จึงไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ ขณะที่สมาชิกอีกฝ่าย เห็นว่าการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนั้นต่างจากญัตติทั่วไป เนื่องจากเป็นกระบวนการเลือกผู้สมควรได้รับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกทั้งข้อบังคับการประชุมฯ ว่าด้วยการเลือกนายรัฐมนตรีได้มีการแยกไว้ต่างหากในหมวด 9 ประกอบด้วย มาตรา 136, 137, 138 และ 139 ไม่ได้มีข้อบังคับใดห้ามไว้ ขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนว่าไม่ให้เสนอชื่อซ้ำจากชื่อเดิมได้
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ความเห็นจากสมาชิกยังไม่ได้ข้อสรุป โดยจะไปพิจารณากันอีกครั้งในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.66) รวมทั้งจะใช้อำนาจประธานรัฐสภาในการชี้ขาด หรือจะขอมติจากที่ประชุมหรือไม่ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า จะต้องรอฟังการอภิปรายในวันพรุ่งนี้ให้ได้ข้อมูลครบถ้วน โดยจะให้เวลาอภิปรายรวม 2 ชั่วโมง ก่อนหาสรุป
สำหรับการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ยกเลิกอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและยังไม่ได้บรรจุในระเบียบวาระการประชุม โดยคาดว่าจะสามารถบรรจุได้ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ทั้งนี้ หากวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.66) รัฐสภายังไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้จะมีการลงมติต่อในวันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคมนี้ หรือไม่ ยังไม่มีความชัดเจนต้องรอติดตามสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้ก่อน
ครม. มีมติอนุมัติรูปแบบการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบ 6 หลัก และ 3 หลัก
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศเกี่ยวกับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบ L6 คือ เลข 6 หลัก มีทั้งแบบใบและแบบดิจิทัล และสลาก N3 คือ เลข 3 หลัก จำหน่ายเฉพาะแบบดิจิทัล ผู้ซื้อกำหนดตัวเลขเองได้ รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสมทบเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) พ.ศ. .... 2.ร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) และ 3 ร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) ทั้งนี้เป็นผลจากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการการออกผลิตภัณฑ์สลากกินแบ่งรัฐบาล สลาก L6 และสลาก N3 โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย จากกลุ่มผู้ซื้อ กลุ่มผู้ขายสลาก ทั้งผู้ขายสลากที่เป็นผู้ด้อยโอกาสและคนพิการร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวน 14,398 คน ควบคู่การศึกษาผลกระทบทางสังคมเรียบร้อยแล้วซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วย
สำหรับสาระสำคัญเพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายสลากรูปแบบดิจิทัล และทางเลือกในการซื้อสลากแบบถูกกฎหมายมากขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา โดยเฉพาะรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) เป็นสลากรูปแบบใหม่ ประกอบด้วยหมายเลขให้เลือก 3 หลัก ไม่กำหนดหมายเลขไว้ล่วงหน้า ผู้ซื้อสามารถเลือกหมายเลขแต่ละหลักให้ครบ 3 หลัก และสามารถเลือกหมายเลขแต่ละหลักซ้ำกันได้ การจ่ายเงินรางวัลและประเภทของรางวัล รวม 4 ประเภท ประกอบด้วยรางวัลสามตรง (ถูกทุกหมายเลขและตรงทุกตำแหน่ง) รางวัลสามสลับ (ถูกทุกหมายเลข แต่สลับตำแหน่ง) รางวัลตัวสองตรง (ถูกทุกหมายเลขและตรงทุกตำแหน่ง) รางวัลพิเศษ (ถูกรางวัลที่มีข้อมูลหมายเลขตรงกับผลการออกรางวัลพิเศษ)
ขณะที่ร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เรื่องกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก L6 เป็นสลากประเภทไม่สมทบเงินรางวัล หากงวดใดไม่มีผู้ถูกรางวัล ให้นำเงินรางวัลส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ออกรางวัลทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่สำนักงานสลากดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่สลากแบบดิจิทัลจะไม่มีการพิมพ์สลากและไม่มีการสแกนภาพสลาก แบ่งเป็นการจ่ายเงินรางวัลเป็น 9 ประเภท รวม 14,168 รางวัลต่อชุด รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 รางวัลละ 1 แสนบาท จำนวน 2 รางวัล รางวัลที่ 2 รางวัลละ 2 แสนบาท จำนวน 5 รางวัล รางวัลที่ 3 รางวัลละ 8 หมื่นบาท จำนวน 10 รางวัล รางวัลที่ 4 รางวัลละ 4 หมื่นบาท จำนวน 50 รางวัล รางวัลที่ 5 รางวัลละ 2 หมื่นบาท จำนวน 100 รางวัล รางวัลเลขหน้าสามตัว เสี่ยง 2 ครั้ง รางวัลละ 4,000 บาท จำนวน 2,000 รางวัล รางวัลเลขท้ายสามตัว เสี่ยง 2 ครั้ง รางวัลละ 4,000 บาท จำนวน 2,000 รางวัล รางวัลเลขท้ายสองตัว เสี่ยง 1 ครั้ง รางวัลละ 2,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล
การจัดสรรเงินรางวัล ร้อยละ 60 เป็นเงินรางวัล ไม่น้อยกว่าร้อยละ 23 เป็นรายได้แผ่นดิน และไม่เกินกว่าร้อยละ 17 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน
19 กรกฎาคม 2566
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติเห็นว่าการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซ้ำครั้งที่ 2 ไม่สามารถทำได้
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นครั้งที่ 2 วันนี้(19 ก.ค.66) ยังคงเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล เพียงรายชื่อเดียว โดยตลอดทั้งวันสมาชิกรัฐสภายังคงอภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ว่าสามารถเสนอชื่อนายพิธา ให้ที่ประชุมลงมติเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำเป็นรอบที่ 2 ได้หรือไม่ ซึ่งหลังใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ท้ายที่สุดที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 395 เสียง ต่อ 312 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่ง 374 เสียง จำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 748 คน เห็นว่าการใช้มติตามข้อบังคับ 41 ไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธา ซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้
กำหนดลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งถัดไป ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ เวลา 09.30 น. โดยดำเนินการไปตามขั้นตอนและรัฐธรรมนูญกำหนด เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระจะมีการเสนอชื่อบุคคลที่สมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมือง จากนั้นจะเปิดให้อภิปรายถึงเรื่องคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อ หากไม่มีปัญหาจะเดินหน้าชงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการเสนอรายชื่อผู้สมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีกี่รายชื่อ แต่ต้องยึดตัวเลขผู้ที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 374 เสียง จากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 748 คน จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนกรอบเวลาในการอภิปรายยังไม่มีกำหนด ต้องมีการพูดคุยกับวิปวุฒิสภา และตัวแทนพรรคการเมืองอีกครั้ง แต่เบื้องต้นจะให้อภิปรายเสร็จก่อนเวลา 17.00 น. จากนั้นจะลงมติโดยใช้วิธีเดิมแบบเปิดเผยด้วยการขานชื่อสมาชิกรัฐสภาเรียงลำดับอักษร
ส่วนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ จะเสร็จสิ้นเลยหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ประชาชนอยากให้เสร็จสิ้นและได้นายกรัฐมนตรีโดยเร็ว 27 กรกฎาคมนี้
ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันนี้ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่กรณีเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องว่างลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่ประกอบวรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (5) จึงสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
สำหรับคำขอของผู้ร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (9 ต่อ 2) เห็นว่า ข้อเท็จริง ตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ถูกร้องอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันนี้ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
"พิธา" รับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญยุติการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระบุชี้หลังเลือกตั้ง 14 พ.ค.ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ภายหลังมีเอกสารจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ตนเองยุติการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรับทราบคำสั่งดังกล่าว โดยยืนยันว่า จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอื่น พร้อมฝากข้อความถึงประชาชนและอำลาประธานสภาฯ จนกว่าจะพบกันใหม่ และหวังว่าสมาชิกรัฐสภา จะใช้รัฐสภา ดูแลประชาชนและมั่นใจว่า หลังการลือกตั้ง 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว และขอให้ ส.ส. ช่วยกันดูแลประชาชนต่อไป
จากนั้น นายพิธา ได้ถอดบัตรประจำตัวแสดงตนวางไว้บนที่นั่งประจำตัวของตนภายในรัฐสภา โดยมี ส.ส.จาก 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ลุกขึ้นปรบมือเพื่อเป็นกำลังใจให้กับนายพิธา ก่อนที่นายพิธา จะเดินออกจากห้องประชุมไป
20 กรกฎาคม 2566
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันพรรคไม่ปล่อยมือพรรคก้าวไกล โดยรอนัดหมายหารือชื่อนายกรัฐมนตรีลงมติเลือก ครั้งที่ 3
นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงทิศทางของ 8 พรรคร่วมจัดตั้ง
รัฐบาล หลังวานนี้ (19 ก.ค.66) ไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีได้จากผลการวินิจฉัยว่าเป็นญัตติซ้ำจึงถูกตีตกไป โดยเห็นว่าคำวินิจฉัยของรัฐสภาเป็นการผูกมัดการใช้ข้อบังคับการประชุมของตนเอง ทั้งนี้ ย้ำว่า การเดินหน้าของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ต้องเป็นไปตาม MOU ที่ทำร่วมกันโดยให้สิทธิ์แกนนำคือ พรรคก้าวไกลเป็นผู้เริ่มในทุกกระบวนการ ดังนั้นการพูดคุยต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกล เป็นผู้นัดหมาย ซึ่งวานนี้ (19 ก.ค.66) เลขาธิการพรรคพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้มีการหารือกันเบื้องต้นและจะมีการนัดหมายต่อไป พร้อมยันว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่ปล่อยมือจากพรรคก้าวไกล ขณะนี้ยังอยู่ด้วยกัน ส่วนการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในการลงมติครั้งที่ 3 จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันที่จะเกิดขึ้น ยังไม่สามารถที่ฟันธงได้ต้องพรรคก้าวไกลนัดหมายหารือร่วมกันก่อน โดยคาดอาจเป็นช่วง 1-2 วันนี้
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย
วิจารณ์ให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ว่า เป็นความเห็นและเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไม่ขอก้าวล่วง เพราะต้องมีการพูดคุยกันใน 8 พรรคร่วมรัฐบาลก่อน
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เผยยังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทยเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงท่าทีของพรรคต่อการร่วมรัฐบาลว่า ยังเหมือนเดิมคือ ไม่ร่วมงานกับพรรคที่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่สนับสนุนให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลต้องรอให้สถานการณ์เดินหน้าต่อไป เพราะฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ยังอยู่ด้วยกัน แม้ว่าในอนาคตพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่มีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็จะไม่ร่วมด้วย แต่หากพรรรเพื่อไทยถึงทางตันในการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเป็นเรื่องที่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลต้องปรึกษากันเอง ส่วนพรรคภูมิใจไทย ยืนยันมาตลอดว่า จะเล่นตามกติกาและมารยาทในฐานะพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงเลือกตั้งเป็นพรรคลำดับ 3 จะต้องรอให้พรรคอับดับ 2 ดำเนินการก่อน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องหานายกรัฐมนตรีให้ได้ก่อนจึงจะสามารถพูดถึงการทำงานของรัฐบาลในอนาคตได้
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันอีกว่า ยังไม่มีการพูดคุยกับพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงยังไม่มีการประสานงานพูดคุยระหว่างพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี รอบที่ 3 พรรคภูมิใจไทย จะมีการประชุม สส. ของพรรคก่อนเพื่อหารือถึงแนวทางการประชุมรัฐสภาต่อไป
21 กรกฎาคม 2566
พรรคก้าวไกล ยืนยันให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ผลจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประชาชนมีเจตจำนงต้องการให้พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่ที่ผ่านมามีกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่สามารถได้รับเลือกเป็นยกรัฐมนตรีได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความดังกล่าวแต่เนื่องจากในระบบรัฐสภา พรรคจึงต้องขอโทษประชาชนและยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามีความพยายามไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้ ยืนยันว่าแม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การร่วมจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองจะยังคงอยู่ เพราะสิ่งสำคัญวันนี้ไม่ใช่เรื่องนายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือ จะหยุดการสืบทอดอำนาจได้อย่างไร ดังนั้นพรรคก้าวไกลยืนยันจะมอบให้พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองที่ได้คะแนนอันดับ 2 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โดยพรรคก้าวไกล ยืนยันจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลเช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยสนับสนุนพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้
เลขาธิการพรรคก้าวไกล ย้ำพรรคไม่ยอมรับมติของรัฐสภา ที่ให้การเลือกนายกรัฐมนตรี ขัดข้อบังคับการประชุมข้อที่ 41 ไม่เสนอชื่อนายพิธา ซ้ำได้ ส่วนขั้นตอนจากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อไปขอประชุมพรรคอีกครั้ง
ประธานรัฐสภา ชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวชี้แจงกรณีผลการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีบางประเด็นที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ของประธานสภาในที่ประชุมในวันดังกล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมวิป 3 ฝ่าย ในวันที่ 18 กรกฎาคม ในที่ประชุมไม่สามารถหาข้อยุติ กรณีการใช้กฎข้อบังคับที่ 41 และข้อบังคับหมวด 9 ในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่ และประธานสภาไม่สามารถวินิจฉัยเลือกข้างใดข้างหนึ่งได้ จึงได้นำประเด็นดังกล่าวไปขอความเห็นจากที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยการประชุมรัฐสภา 3 ชั่วโมงแรก ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าควรจะใช้ข้อใด จึงนำข้อบังคับที่ 151 มาใช้ประกอบการพิจารณาเพิ่ม โดยในที่สุดไม่มีคนแสดงความคิดเห็นและยังไม่สามารถสรุปได้ ประธานสภาจึงสั่งให้มีการโหวต โดยหากจะโหวตกรณีไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้นั้น ต้องมีเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 375 เสียง ปรากฏว่าผลโหวตได้ 395 เสียง
อีกทั้งกรณีที่ประธานมีอำนาจสามารถชี้ขาดให้มีการเสนอชื่อซ้ำได้นั้น ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ในที่ประชุมวันดังกล่าวไม่มีสมาชิก ที่ประชุมท่านใดแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นคะแนนโหวตทั้ง 395 เสียงจึงชอบด้วยมติและประธานไม่สามารถเสนออื่นใดได้ เพราะไม่มีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งวันดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจจะปิดประชุมในทันที เป็นเพียงวาระการประชุมหมดแล้วเท่านั้น
ส่วนกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำหน้าที่สมบูรณ์แบบแล้วหรือไม่นั้น ตนเองได้ทำหน้าที่ตามข้อบังคับและตามคำที่ได้เสนอเป็นนโยบายว่าจะปฏิบัติตนเป็นกลางในทางการเมือง ไม่รับฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและคิดว่าได้ปฎิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับแล้ว แต่เข้าใจว่าความเห็นแตกต่างกันได้ พร้อมยึดมั่นทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและดีที่สุดใครจะคิดอย่างไร เป็นความคิดของแต่ละบุคคล ซึ่งการใช้อำนาจประธานรัฐสภาสามารถชี้ขาดได้แต่ก็ถูกร้องได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการขัดแย้งเรื่องข้อบังคับในที่ประชุมรัฐสภาก็ควรชี้ขาด
หอการค้าไทย คาดได้รัฐบาลใหม่ช่วงเดือนสิงหาคม หรือช้าสุดเดือนกันยายนนี้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ครั้งถัดไปในสัปดาห์หน้า (27 ก.ค.) ว่า ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าจะเป็นในลักษณะใด แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วขณะนี้คือ การเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถจะใช้ญัตติเดิมในการเสนอชื่อคนเดิมได้ ซึ่งหลังจากนี้คงเป็นไปตามแนวทางที่พรรคก้าวไกลเสนอให้พรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยวิเคราะห์ได้เป็น 2 กรณีคือ กรณี สว. ยืนยันไม่โหวต หากมีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และกรณีทั้ง 8 พรรคร่วม สลายขั้วเพื่อเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยเป็นอิสระในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคใดก็ได้
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนไทยพร้อม ให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ และมองว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จภายใต้ระบบของประชาธิปไตย ก็จะได้คนที่มีประสบการณ์เข้ามาขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจ แต่ยังต้องรอดูพัฒนาการต่อไปจนกว่าจะถึงวันโหวตว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร ซึ่งการที่รัฐสภาชี้แจ้งว่าการเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้เพียงครั้งเดียวนั้น ชี้ให้เห็นว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีจะทำได้ในวงจำกัดเพียงไม่กี่รอบ หากในวันที่ 27 ก.ค. นี้ไม่ผ่าน ครั้งต่อไปน่าจะเป็นต้นเดือนสิงหาคม ดังนั้น การคัดสรรชื่อต้องเป็นที่ยอมรับในทางรัฐสภา ซึ่งโอกาสในการได้รัฐบาลใหม่ในเดือนสิงหาคม หรือช้าสุดในเดือนกันยายน ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
17 กรกฎาคม 2566
อาหารทะเลมีแนวโน้มเติบโตในจีน แนะผู้ประกอบการไทยขยายตลาดผ่านแพลตฟอร์มจีน
นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานถึงสถานการณ์การบริโภคสัตว์น้ำของจีน โดยจีนเป็นประเทศที่มีการผลิต และส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ อาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลแปรรูปมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ปริมาณการผลิตในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการการบริโภค ทำให้จีนมีความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและอาหารทะเลจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปลาทะเล อาทิ กุ้งล็อบสเตอร์ กุ้งกุลาดำ หอยนางรม ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาหมึกและปู
ในปี 2565 จีนมีการบริโภคสัตว์น้ำต่อหัวเฉลี่ยถึง 14.6 กก./คน/ปี และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 23 กก./คน/ปี โดยอาหารที่ทำจากสัตว์น้ำมีแนวโน้มเติบโตและมีช่องว่างในตลาดอีกมาก จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการขยายตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำไปยังตลาดจีน เนื่องจากปัจจุบันรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรจีนเพิ่มสูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีและปริมาณความต้องการบริโภคสัตว์น้ำและอาหารทะเลนำเข้าค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการไทยควรศึกษากฎระเบียบและภาษีการนำเข้าให้ชัดเจน
นอกจากนี้ การทำตลาดสัตว์น้ำและอาหารทะเล ผ่านแพลตฟอร์ม E–Commerce ในจีน ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าร่วมแพลตฟอร์มที่สำคัญ ได้แก่ Taobao T-mall Jingdong และ Hema เป็นต้น นอกจากนี้ ควรดำเนินการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในตลาดจีน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จในตลาด E-commerce ในประเทศจีนอย่างยั่งยืน
18 กรกฎาคม 2566
กบข.เดินหน้าให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุนและสิทธิแก่สมาชิก ผ่านการบรรยายออนไลน์
นางศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.เดินหน้าให้ความรู้การเงินการลงทุน เหตุและสิทธิแก่สมาชิก กบข. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจและสามารถตัดสินใจทวีค่าเงินออมได้ จึงได้จัดบรรยายออนไลน์ หัวข้อ “สมาชิก กบข. ต้องรู้อะไรบ้าง?”ในวันที่ 19 และ 26 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00 น.- 11.30 น.ผ่านโปรแกรม ZOOM
การบรรยายในครั้งนี้ กบข. ได้เตรียมเนื้อหาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อสมาชิก ได้แก่ สิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กบข. , กฎหมาย กบข. เพื่อสมาชิกใน 5 ประเด็นสำคัญ, รายละเอียดยอดเงินในบัญชีสมาชิก กบข. และเครื่องมือช่วยทวีค่าเงินออม ซึ่งสมาชิกที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังบรรยายได้ผ่าน 3 ช่องทาง 1/ แอป กบข. My GPF Application เมนูลงทะเบียนกิจกรรม 2/ LINE กบข. @gpfcommunityเมนูลงทะเบียนกิจกรรม และ 3/ เว็บไซต์ กบข. www.gpf.or.th เมนูปฏิทินกิจกรรม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook กบข. หรือ LINE กบข. @gpfcommunity หรือศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก โทร 1179
เตรียมส่งออกมังคุดสู่ประเทศญี่ปุ่น หลังมังคุดจากไทยไม่ต้องผ่านกระบวนการอบไอน้ำ
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างปรับปรุงมาตรการการนำเข้ามังคุด โดยลดหย่อนให้มังคุดจากประเทศไทยไม่ต้องผ่านการกำจัดศัตรูพืชด้วยกระบวนการอบไอน้ำแล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของฝ่ายญี่ปุ่น และคาดว่าจะเริ่มประกาศใช้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ จึงได้สั่งการไปยังทูตพาณิชย์ให้เร่งผลักดันมังคุดเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ในทันที เพื่อขยายมูลค่าการส่งออกและช่วยสร้างราคาที่ดีให้แก่มังคุดของไทย รวมทั้งเพื่อลดการพึ่งพิงเฉพาะตลาดเดิมของมังคุดโดยเฉพาะจากประเทศจีน
ที่ผ่านมาญี่ปุ่นนำเข้ามังคุดจากไทยสูงสุดเพียงปีละ 100 ตัน เนื่องจากมังคุดที่จำหน่ายในตลาดญี่ปุ่น จะต้องผ่านกระบวนการอบไอน้ำก่อน ส่งผลให้มังคุดไทยที่วางจำหน่ายมีราคาแพงตามต้นทุนที่สูงขึ้น มาตรการในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดประตูมังคุดไทยสู่ตลาดญี่ปุ่นครั้งสำคัญ ที่จะทำให้ชาวญี่ปุ่นได้รับประทานมังคุดที่รสชาติดีและราคาไม่สูงมาก
นายภูสิต กล่าวว่า ได้นำคณะนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นของบริษัทผู้นำเข้าผลไม้รายใหญ่ ร่วมเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทดลองชิมมังคุดของไทยที่ไม่ได้ผ่านการอบไอน้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่มผู้ซื้อ ว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตมังคุดที่มีระบบควบคุมคุณภาพที่ดี ซึ่งทำให้กลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นประทับใจในมังคุดของไทย พร้อมกับสั่งออเดอร์เพื่อเข้าไปเปิดตลาดทันที 300 ตัน
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแผนจัดกิจกรรมโปรโมทมังคุด เพื่อเพิ่มยอดขายในตลาดญี่ปุ่นโดยทันที เชื่อว่าจะช่วยขยายการส่งออกมังคุดเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลักพันตันในอนาคตอันใกล้ได้อย่างแน่นอน
ททท.เสนอทิศทางการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ 3 ล้านล้านบาท
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวในปี 2567 ได้วางแผนกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วย 5 ทิศทางหลัก ได้แก่ เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ท่องเที่ยวไทยด้านความยั่งยืนและใช้เป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทย เปิดตลาดคุณภาพใหม่ ให้ท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี แสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก ขยายการเดินทางเชื่อมโยงทางบกเข้าถึงประเทศไทย และใช้ Digital Content เสริมพลังทางการตลาด
ในส่วนของตลาดในประเทศ ได้กระตุ้นให้ท่องเที่ยวไทยทันที เพิ่มความถี่และการกระจายตัวท่องเที่ยวหลากหลายพื้นที่มากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้ทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมและนําเสนอสินค้าเชิงประสบการณ์ผ่านอัตลักษณ์ของ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ
ททท. ตั้งเป้าหมายอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ปี 2567 ผลักดันรายได้ในระดับใกล้เคียงกับรายได้ ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยได้รับในปี 2562 ก่อนสถานการณ์การเผยแพร่ระบาดของโควิด-19 บนพื้นฐานของสถานการณ์ท่องเที่ยวที่มีปัจจัยเอื้ออำนวยในทุกด้าน จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น 3 ล้านล้านบาท
19 กรกฎาคม 2566
ททท.จัดกิจกรรมเสริมพลังบุญ หนุนพลังใจ พาผู้โชคดีเข้าร่วมทริป 1 วันในกรุงเทพมหานคร
นางสาวปิยะรัตน์ สุริยะฉาย ผู้อำนวยการกองวางแผนสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.จัดกิจกรรม Exclusive ทริปสายมู one day trip กรุงเทพมหานคร วันเปลี่ยนดวงชะตาร้ายให้เป็นดีอย่างฉับพลัน ภายใต้โครงการ “เสริมพลังบุญ หนุนพลังใจ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งกิจกรรมในโครงการนี้ถือเป็นการเปิดตลาดกระตุ้นนักท่องเที่ยวที่มีความเชื่อและความศรัทธา ให้หันมาท่องเที่ยวยังสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นการผนวกความเชื่อกับการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันเพื่อยกระดับมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยกิจกรรมในวันนี้ ททท.ได้นำนักท่องเที่ยวผู้โชคดีที่ร่วมสนุกกับทางเพจ Amazing Thailand กว่า 40 คน เดินทางร่วมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งนิยมในการมาทำบุญ เสริมความเป็นสิริมงคล อาทิ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) วัดระฆังโฆสิดาราวรมหาวิหาร เป็นต้น
กรมการค้าภายใน ขอความร่วมมือห้างจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า ช่วยลดค่าครองชีพ
ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน พร้อมลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์การค้า ณ ห้างโลตัส สาขานอร์ทราชพฤกษ์ พบว่า การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงเย็นวันธรรมดาและช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยห้างโลตัสมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าหลากหลาย อาทิ หมวดอาหารสด/แปรรูป เช่น เนื้อไก่หั่นชิ้น จำหน่ายราคา 75 บาท/กก. อกไก่ ราคา 76 บาท/กก. ข้าวสารบรรจุถุง ลดสูงสุดร้อยละ 30 หมวดผลิตภัณฑ์ซักล้าง เช่น ผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน และหมวดชำระล้างร่างกาย เช่น ครีมอาบน้ำ สบู่ แชมพู ลดสูงสุดร้อยละ 50 หมวดของใช้ประจำวัน เช่น กระดาษทิชชู ผ้าอ้อมเด็ก/ผู้ใหญ่ ลดสูงสุดร้อยละ 34 หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี พัดลม ตู้เย็น ลดสูงสุดถึงร้อยละ 70 สำหรับผลไม้ ช่วงนี้มีผลผลิตออกมาสู่ตลาดหลายชนิด เช่น สับปะรดภูแล ลำไย มังคุด และส้มโอทับทิมสยามปากพนัง กรมฯ ได้ขอความร่วมมือห้างฯ ให้รับซื้อโดยตรงมาจากเกษตรกรมากขึ้น
รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้มั่นใจว่าในการจับจ่ายใช้สอยประชาชนจะได้รับสินค้าในปริมาณและน้ำหนักที่ครบถ้วน ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่กองชั่งตวงวัด ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งในตลาดและในห้างต่างๆ ตลอดจนตรวจสอบปริมาณและน้ำหนักสินค้าที่บรรจุในหีบห่ออย่างสม่ำเสมอ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านราคาสินค้า หรือพบเห็นเครื่องชั่งไม่เที่ยงตรง สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569
ธ.ก.ส. เปิดโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ระยะที่ 2
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. จัดโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ระยะที่ 2 วงเงิน 3,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงในพื้นที่ 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนและค่าลงทุนในการปรับปรุงอุปกรณ์การทำประมงให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล เสริมสร้างความมั่นคงทางทรัพยากรทางทะเลและอาหารอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการประมงและลูกเรือประมง ได้รับความคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงในการสูญเสียเรือกรณีเกิดภัยพิบัติ ผ่านโครงการประกันภัยเพื่อชาวประมงภาคสมัครใจโดยทิพยประกันภัย โดยผู้ขอเอาประกันภัยต้องเป็นเจ้าของเรือประมงที่มีสัญชาติไทย มีเรือประมงที่จดทะเบียนกับกรมเจ้าท่า และมีอาชญาบัตรจากการประมง (สำหรับเรือประมงที่มีขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป) อัตราค่าเบี้ยประกัน ขนาดเรือไม่ถึง 10 ตันกรอส 323.14 บาทต่อลำ และขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป 430.14 บาทต่อลำ ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี
?สำหรับความคุ้มครองเมื่อเกิดภัย ประกอบด้วย ค่าชดเชยกรณีเรือประมงสูญหายหรือเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ อันเนื่องมาจากอุทกภัย วาตภัย พายุ คลื่นลมแรง คลื่นซัดชายฝั่ง แผ่นดินไหวและสึนามิ ในระยะเวลาเอาประกัน วงเงินไม่เกินลำละ 10,000 บาท และกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากอุบัติเหตุของผู้เอาประกันภัย และ/หรือ ผู้ได้รับความคุ้มครอง 1 ราย (คนขับเรือหรือลูกเรือประมงของผู้เอาประกันภัย) สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาใกล้บ้าน หรือศูนย์บริการลูกค้า 1593
20 กรกฎาคม 2566
เตือนข้าราชการและผู้รับบำนาญ อย่าหลงเชื่อ มิจฉาชีพแอบอ้างชื่อกรมบัญชีกลาง หลอกให้แอดไลน์อัปเดตบัญชีเงินเดือน
นางสาวทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากข้าราชการ ผู้รับบำนาญหลายราย ว่ามีผู้ไม่หวังดีโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง แจ้งให้ดำเนินการอัปเดตบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยให้แอดไลน์ชื่อ aow91 ซึ่งเป็นไลน์ที่แอบอ้างใช้โลโก้และชื่อกรมบัญชีกลางเป็นชื่อและรูปโปรไฟล์ เพื่อให้ส่งเอกสารและส่งลิงก์ให้กดเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีผู้หลงเชื่อไปกดลิงก์จากไลน์ดังกล่าว ทำให้สูญเสียเงินในบัญชี กรมบัญชีกลาง ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำเหน็จบำนาญ ขอชี้แจงว่า ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ติดต่อข้าราชการหรือผู้รับบำนาญให้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปรับปรุงบัญชีเงินฝากธนาคารที่ใช้รับเงินเดือน หรือบำเหน็จ บำนาญ และขออย่าหลงเชื่อ
กระทรวงพาณิชย์จับมือมาเลเซีย เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดน หวังเพิ่มมูลค่าการค้า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เข้าพบกับดาตุ๊ก อัซมัน บิน โมฮัมหมัด ยูโซฟ ปลัดกระทรวงการค้าภายในและค่าครองชีพมาเลเซีย เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ การกำกับดูแลการค้าภายในประเทศให้มีความเป็นธรรมและการฟื้นฟูการค้าชายแดน โดยมีผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือในครั้งนี้ด้วย โดยมาเลเซียมีความสนใจที่จะร่วมมือเพื่อส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์กับไทย ซึ่งถือเป็นประเด็นใหม่ที่ยังไม่เคยมีความร่วมมือระหว่างกันมาก่อน ซึ่งมาเลเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ของไทย โดยเฉพาะสาขาอาหารและเครื่องดื่ม
ปัจจุบันแฟรนไชส์ของไทยที่อยู่ในตลาดมาเลเซีย มีจำนวน 6 ราย ได้แก่ อเมซอน (Amazon) แบล็คแคนยอน (Black Canyon) กาแฟดอยช้าง ตำมั่ว บาบีก้อน และสมาร์ทเบรน (Smart Brain) ขณะที่แฟรนไชส์ของมาเลเซียที่อยู่ในไทยมีประมาณ 6 ราย อาทิ Secret Recipe Laundry Bar และ Unisense นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะเร่งฟื้นการค้าชายแดนและเศรษฐกิจท้องถิ่นแถบพรมแดน ทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าการค้าระหว่างกันบรรลุตามเป้าหมายได้เร็วขึ้น ซึ่งตั้งเป้าไว้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 102,000 ล้านบาท) ในปี 2568 โดยจะหารือเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีแผนจะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 1 ของไทย โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับมาเลเซีย มีมูลค่า 27,196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติและแผงวงจรไฟฟ้า
21 กรกฎาคม 2566
ผลักดันส่งออกกล้วยหอมทองไปตลาดญี่ปุ่น มั่นใจผลไม้ไทยมีคุณภาพ แข่งขันได้ในตลาดโลก
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดกิจกรรมเพื่อเปิดตลาดกล้วยหอมไทย พร้อมนำผู้นำเข้าชาวญี่ปุ่นลงพื้นที่ดูแปลงเพาะปลูกกล้วยในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการและพูดคุยกับเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยในพื้นที่ ส่งผลให้ผู้ซื้อชาวญี่ปุ่นได้วางแผนเตรียมนำเข้ากล้วยหอมจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกถึง 5,000 ตัน
ทั้งนี้ เนื่องจากไทยกับประเทศญี่ปุ่น มีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ซึ่งให้สิทธิพิเศษการยกเว้นภาษีนำเข้ากล้วยจากประเทศไทย เป็นจำนวน 8,000 ตันต่อปี แต่ที่ผ่านมาไทยยังใช้โควตาดังกล่าวไม่เกิน 3,000 ตันต่อปีเท่านั้น จึงยังเหลือโควตาไม่เสียภาษีอีกถึง 5,000 ตัน
นอกจากนี้ ในงาน THAIFEX - Anuga Asia 2023 ในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ยังได้จัดกิจกรรมการพบปะเจรจาการค้าระหว่างบริษัทผู้นำเข้าญี่ปุ่นรวม 10 บริษัท และผู้ส่งออกไทยรวม 23 บริษัท 38 ราย ซึ่งคาดว่ากล้วยและผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปของไทยได้รับความสนใจสั่งซื้อเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท กรมฯ จึงได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ เร่งรัดการซื้อขายดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นายภูสิต กล่าวว่า ญี่ปุ่นให้ความสนใจกล้วย จากประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะมีรสชาติอร่อยกว่ากล้วยหอมเขียวที่วางขายอยู่ในตลาด จึงมั่นใจว่ากล้วยไทย จะสามารถเข้าไปทำตลาดญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ จากความสำเร็จในการผลักดันกล้วยจำนวน 5,000 ตัน ประกอบกับยอดสั่งซื้อมังคุดจากนครศรีธรรมราชเพื่อไปเปิดตลาดญี่ปุ่น อีกจำนวน 300 ตันแรก ก่อนหน้านี้ คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าส่งออกได้ทันทีไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท และจะช่วยให้ผลไม้ไทยลดการพึ่งพิงตลาดหลักในจีน รวมทั้งจะช่วยให้ผลไม้ไทยมีระดับราคาที่ดีและนำไปสู่ความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยที่ดีขึ้น
รฟท.เร่งจัดทำข้อมูลโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง เสนอรัฐบาลชุดใหม่
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางของไทยว่า ขณะนี้การรถไฟฯ อยู่ระหว่างจัดทำโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัย ช่วงขอนแก่น - หนองคาย ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ช่วงชุมพร – สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ – สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ โดยเตรียมการจัดทำข้อมูล เพื่อรอเสนออนุมัติโครงการกับรัฐบาลชุดใหม่แล้ว
ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย - เชียงใหม่ อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการ รวมถึงกำลังทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เช่นกัน
หากโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้การรถไฟฯ มีรถไฟทางคู่ครอบคลุมการเดินทางได้มากกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ มีเส้นทางคู่รวมกันมากกว่า 3,000 กิโลเมตร ภายในปี 2572 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว สามารถทำความเร็วในการขนส่งสินค้าได้จากเดิม 29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำความเร็วในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มจากเดิม 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ ที่สำคัญรถไฟทางคู่ยังช่วยกระจายโอกาสทางสังคม การเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียน
สังคม
17 กรกฎาคม 2566
เร่งฝึกพนักงานนวดไทยและสปา ป้อนสถานประกอบกิจการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ผู้ประกอบกิจการด้านสปา ด้านท่องเที่ยวและบริการในจังหวัดภูเก็ตขาดแคลนแรงงานนวดและสปาจำนวนมาก ประกอบกับผู้ประกอบอาชีพพนักงานนวดและสปาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ไม่นิยมทำงานประจำที่ร้าน จะรับงานแบบอิสระ (Freelance) ส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ภูเก็ตขาดแคลนพนักงานนวดและสปาประจำอยู่ที่ร้าน
กรมพัฒนาฝีมือแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต เร่งผลิตแรงงานนวดและสปาที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน โดยในปี 2566 สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต ได้ดำเนินการฝึกอบรมไปแล้วจำนวน 325 คน ใน 13 หลักสูตร อาทิ เทคนิคการนวดไทย พนักงานผสมเครื่องดื่ม พนักงานต้อนรับ เพื่อป้อนเข้าสู่สถานประกอบกิจการ ส่วนแผนการฝึกอบรมสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต จะเปิดฝึกอบรมในหลักสูตรพนักงานนวดไทย ในช่วงวันที่ 7-31 สิงหาคม 2566 นี้
ผู้ที่สนใจเข้าฝึกอบรมสมัครได้ที่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต โทรศัพท์หมายเลข 076-685270 ส่วนท่านใดที่อยู่ในจังหวัดอื่นๆ หากสนใจฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานนวดไทย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลการฝึกอบรมได้ที่ สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ หรือติดตามได้ที่ เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th
ผู้ประกันตน อายุ 50 ปี เข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามสิทธิประกันสังคมได้ฟรี ถึง 31 ส.ค.นี้
นางสาวปาริฉัตร จันทร์อำไพ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนมักเกิดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ คนทั่วไปจะมีอาการไม่มาก เช่น มีไข้สูง มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ ส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่โรคประจำตัว หากรับเชื้ออาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบหรือปอดบวม สมองอักเสบและอาจเสียชีวิตได้
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป สำนักงานประกันสังคม ขอเชิญชวนผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์รักษาพยาบาลเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ส่วนช่องทางการรับวัคซีน ผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ที่ สถานพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งให้บริการไปจนถึง 31 สิงหาคม 2566 สำหรับภาพรวมในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้ประกันตนใช้สิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่มากกว่า 300,000 คน
รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำว่า เพื่อความสะดวกในการเข้ารับวัคซีน แนะผู้ประกันตนติดต่อนัดหมายการฉีดวัคซีนกับสถานพยาบาลตามสิทธิก่อนวันเข้าไปรับบริการ เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับการสต๊อกวัคซีน แต่หากกรณีสถานพยาบาลตามสิทธิ์ไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ผู้ประกันตนสามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคม โทรศัพท์ 02-956-2502, 2509-10 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ประกันสังคมจะดำเนินการประสานหาสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนสะดวกเข้ารับบริการ ส่วนผู้ประกันตนที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้าง และสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 หากอายุ 50 ปีขึ้นไป ยังสามารถรับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ฟรี ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ลาออก
18 กรกฎาคม 2566
อย.แนะ ชุดตรวจหาไข้เลือดออกต้องใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ ป้องกันการแปลผลผิดพลาด
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออก กระทรวงสาธารณสุข พบว่าจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในปี 2566 สูงกว่าปี 2565 ณ ช่วงเวลาเดียวกันถึง 4.7 เท่า ซึ่งโรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการอนุมัติผลิตภัณฑ์ชุดตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกี หรือไวรัสไข้เลือดออก ข้อบ่งใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเดงกีจากเลือดของมนุษย์ ซึ่งต้องใช้งานโดยผู้ประกอบวิชาชีพและบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
สำหรับการตรวจการติดเชื้อไวรัสเดงกีในปัจจุบันมีหลายวิธี เช่น ตรวจสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค RT-PCR การตรวจหาแอนติบอดี รวมถึงการตรวจหาแอนติเจนที่จำเพาะต่อเชื้อ เช่น NS1 ปัจจุบัน อย. อนุมัติชุดตรวจแล้วหลายยี่ห้อ โดยชุดตรวจที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. จะมีการตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบการจัดการคุณภาพสำหรับเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐาน ISO 13485 การตรวจสอบรายงานการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ประวัติการใช้งานในต่างประเทศ การทดสอบอายุการใช้งานที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าชุดตรวจดังกล่าวจะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเดงกี ผลที่ได้จากการทดสอบยังต้องพิจารณาร่วมกับการวินิจฉัยอื่นและประเมินอาการแสดงทางคลินิกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการที่ตรวจด้วยชุดตรวจแล้วให้ผลเป็นลบ ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเดงกี ยังต้องมีการติดตามอาการหรือวินิจฉัยเพิ่มเติม
ทั้งนี้ อย. ยังไม่ได้มีการอนุมัติชุดตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกี ที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ด้วยตนเอง ดังนั้น หากสงสัยว่ามีอาการไข้เลือดออก ไม่ควรซื้อชุดตรวจมาใช้ด้วยตนเอง แต่ควรเข้ารับคำปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์โดยตรง การใช้งานชุดตรวจทางการแพทย์ต่างๆ ควรได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการเลือกใช้และการแปลผล เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม รวมทั้งลดโอกาสคลาดเคลื่อนในการแปลผลการทดสอบอีกด้วย
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ เตือนคนไทยอย่าหลงเชื่อโฆษณาชวนทำงานที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ผ่านโซเชียลมีเดีย
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมกรณี สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศเตือนคนไทยอย่าหลงเชื่อโฆษณารับสมัครไปทำงานที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ค่าตอบแทนสูงในระยะสั้น ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ระบุวีซ่าที่ผู้จัดหาให้มักเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งการทำงานโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงประมาณ 473,000 บาท จำคุก และอาจถูกเนรเทศไม่ให้กลับเข้าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีก หากถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้ว สถานกงสุลใหญ่ฯ ไม่สามารถก้าวก่ายกระบวนการทางกฎหมาได้ รวมถึงจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน
ขอให้ตรวจสอบบุคคลหรือบริษัทรับสมัครงานว่า เป็นผู้รับอนุญาตจัดหางาน และได้รับอนุญาตโฆษณาจัดหางานตามระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยการโฆษณาการจัดหางาน พ.ศ. 2561 หรือไม่ รวมทั้งศึกษาข้อมูลการทำงานในต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตามช่องทางของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ก่อนตัดสินใจไปทำงาน
หากต้องการความช่วยเหลือ กรณีถูกบังคับค้าประเวณี กักขังหน่วงเหนี่ยว หรือทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายจะต้องติดต่อตำรวจดูไบด้วยตนเอง โดยมีช่องทางติดต่อ โทรฉุกเฉิน กด 999 แอปพลิเคชัน Dubai Police
และเพจ Facebook: Dubai Police Official Page (กด Call Now หรือ ฝากข้อความทาง Inbox)
ปัญหาความยากจน ยังคงเป็นปัจจัยหลักสำคัญ มีผลกระทบต่อเด็กนักเรียนออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น
นายวรัท พฤกษาทวีกุล หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงภาพรวมความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ โครงการ "พาน้องกลับมาเรียน" ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ห่วงเด็กหลุดระบบการศึกษา ว่า จากการสำรวจในรอบปีที่ผ่านมาพบเด็กที่อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ออกนอกระบบการศึกษากว่า 50,000 คน สาเหตุหลักถึงร้อยละ 60 เกิดจากปัญหาความยากจน รองลงมาปัญหาครอบครัว ปัญหาผลการเรียน ติด 0 ติด ร. เป็นต้น
ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ สามารถติดตามเด็กนักเรียนกลุ่มดังกล่าวเข้าสู่ระบบการเรียนได้เกือบทั้งหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ดีกระทรวงศึกษายังพบแนวโน้มเด็กนักเรียนออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 ล้านคนทั่วประเทศ ช่วงจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และปีที่ 6 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคด้านการศึกษา พบว่า ปัญหาความยากจนเป็นปัญหา มีเด็กยากจนพิเศษเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีโครงการเรียนฟรีก็ตามแต่ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ครอบครัวยากจนที่มีรายได้ค่าเฉลี่ยประมาณ 3,300 บาทต่อเดือน กระทบต่อเด็กหลุดจากระบบการศึกษา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล มีความมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจหลักคือให้บริการสาธารณะที่เกี่ยวกบการศึกษา ภายใต้นโยบายยุทธศาสตร์ชาติ ในการขับเคลื่อนงาน
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ยังเปิดเผยถึงผลการลงพื้นที่ตรวจสถานศึกษาต่างๆทั่วประเทศประจำปีการศึกษา 2566 ด้วยว่า ได้มีการพุ่งเป้าไปที่โรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ยังไม่มีความพร้อมด้านการศึกษา พบว่าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่างมีความตื่นตัวจัดการเรียนการสอน โดยนำระบบเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการเรียนการสอนภายในโรงเรียน ทั้งการเรียนการสอน รูปแบบ online ควบคู่การเรียนการสอนภายในห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนตื่นตัวและได้เรียนรู้หลายรูปแบบ แต่ยังคงมีเสียงสะท้องถึงปัญหาหลายสถานการศึกษายังมีความต้องการอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เพิ่มเติม รวมถึงการเพิ่มทักษะฝึกอบรมครูผู้สอน เป็นต้น
19 กรกฎาคม 2566
เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ มิจฉาชีพหลอกลวงให้ทำบัตรประชาชนและเอกสารปลอมผ่านเฟซบุ๊ก เสี่ยงสูญเสียเงินและผิดกฎหมาย
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพหลอกลวงให้ทำบัตรประจำตัวประชาชนและเอกสารปลอม ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ทำให้สูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบปรากฎข้อเท็จจริงว่า การโฆษณาและรับทำเอกสารทางราชการปลอมดังกล่าว มีลักษณะเป็นการหลอกลวงให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินไปให้และตัดการติดต่อหลังมิจฉาชีพได้เงินไป
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานหลักดำเนินงานด้านทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน ชี้แจงว่าการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน โดยเฉพาะกรณีบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างรัดกุม ชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่รัฐทุกกรณี ดำเนินการได้ ณ สำนักทะเบียนท้องถิ่นหรือสำนักทะเบียนอำเภอเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
รัฐบาลกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายป้องกันและปราบปราม รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาชน สำหรับผู้ที่จ้าง หรือสั่งทำเอกสารปลอม หรือผู้ใดนำเอกสารปลอมไปใช้ หรืออ้างให้ผู้อื่นเชื่อว่าเป็นเอกสารจริงโดยทุจริตและปกปิดข้อเท็จจริง มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมาย มีระวางโทษสูง ต้องจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กระทรวงสาธารณสุขชวนคนไทย ร่วม เชิญ ชวน เชียร์ ลด ละเลิกเหล้า เข้าสู่ระบบบำบัดรักษา
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดกิจกรรม วันงดดื่มสุราแห่งชาติประจำปี 2566 ที่จัดขึ้น ณ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ว่า แม้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยและเกือบทุกประเทศทั่วโลกแต่งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก ทั้งผลกระทบทางสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิต จากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุก่อโรคมากกว่า 230 ชนิด คาดการณ์สถานการณ์อนาคตที่คาดหวังจะเปิดเสรีทางการผลิตสุราคือ อนุญาตให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ประชาชนดื่มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมถึงการผลักดันให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ 2551 จะทำให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มากและง่ายขึ้น ประเทศไทยจะเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลทั้งกับตัวผู้ดื่มเองและคนรอบข้าง
รัฐจำเป็นต้องควบคุมขนาดและความรุนแรงของปัญหา ที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทย โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะ อสม. ช่วยกัน เชิญชวน ร่วม ลด ละ เลิก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สู่เป้าหมายลดปริมาณการบริโภคต่อประชากรผู้ใหญ่ ให้เหลือ 5.3 ลิตร แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนต่อปี และจำนวนความชุกของผู้บริโภคในประชากรผู้ใหญ่ ให้เหลือร้อยละ 23.1 ภายในปี 2570 โดยนอกจากดำเนินตาม 5 มาตรการขององค์การอนามัยโลก คือ ควบคุมและจำกัดการเข้าถึง ควบคุมพฤติกรรมการขับขี่หลังการดื่ม บำบัดคัดกรองผู้มีปัญหาจากการดื่มสุรา ควบคุมการโฆษณาการส่งเสริมการขายและการให้ทุนอุปถัมภ์ การขึ้นภาษี ประเทศไทย ยังได้เพิ่มเติมอีก 2 มาตรการคือ การสร้างค่านิยม ลดการดื่ม และระบบสนับสนุน บริหารจัดการที่ดี รวมถึงการมีพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยมีเจตนารมณ์ลดปริมาณการดื่มและป้องกันการเพิ่มขึ้นของนักดื่มหน้าใหม่
ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี กำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปีเป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม 2566 จึงชวนทุกคน ร่วมกันเป็นเครือข่าย ในกิจกรรมเชิญ ชวน เชียร์ ลด ละ เลิกเหล้า เข้าสู่ระบบบำบัดรักษา ผ่านระบบลงนามออนไลน์ ทางเว็บไซต์ noalcohol.ddc.mmoph.co.th ร่วมงดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน นำสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิต ด้วยวิธี 1 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มเงินในกระเป๋า เพิ่มภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความสุขในครอบครัว ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุราพบพฤติกรรมการดื่มสุรา ของประชากรไทยปี 2566 มีแนวโน้มค่าใช้จ่าย เพิ่มสูงขึ้น ผู้ดื่มสุราหนักประจำมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 3,722 บาทต่อเดือน
20 กรกฎาคม 2566
สำนักพระราชวัง เชิญชวนร่วมลงนามถวายพระพรในหลวงผ่านออนไลน์
เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ เผยแพร่ข้อความ เชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ 23 – 29 กรกฎาคม 2566
โอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมนั่งสมาธิเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศล ผ่านแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ” บันทึกเวลาการทำสมาธิเจริญจิตตภาวนา ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 เวลา 08.00 น. ถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 เวลา 08.00 น. ทั้งนี้ สามารถ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ทั้ง Play Store และ App store
อย. ขอผู้บริโภควางใจแป้งฝุ่นเด็กที่จำหน่ายในไทย ไม่มีการปนเปื้อนแร่ใยหิน
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงกรณีจากข่าวต่างประเทศที่มีผู้ฟ้องร้องบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กรณีใช้แป้งฝุ่นเด็กของบริษัทแล้วเป็นมะเร็งบริเวณเนื้อเยื่อรอบหัวใจสาเหตุจากในแป้งมีแร่ใยหินปนเปื้อน และคณะลูกขุนของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สั่งให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องร้องนั้น ว่า แป้งฝุ่นโรยตัวเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบหลักคือ ทัลคัม (Talcum) เป็นแร่ธาตุที่พบได้ตามธรรมชาติ ช่วยดูดซับความชื้น ให้ความรู้สึกสบาย นุ่มลื่นผิว ทัลคัมที่นำมาใช้ในเครื่องสำอางต้องมีความบริสุทธิ์สูง ไม่มีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ปัจจุบันทัลคัมยังคงเป็นสารที่ปลอดภัย สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัยของแป้งฝุ่นโรยตัวมาตลอด ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้เก็บตัวอย่างแป้งฝุ่นโรยตัวที่มีส่วนผสมของทัลคัมหลายยี่ห้อ รวมถึงจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน รวม 158 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์ทุกรายการไม่พบการปนเปื้อนแร่ใยหิน ขอผู้บริโภควางใจว่าแป้งฝุ่นเด็กที่จำหน่ายในไทย มีความปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนแร่ใยหิน
ทั้งนี้ คำแนะนำในการใช้แป้งฝุ่นโรยตัว ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก เพราะผงแป้งจะฟุ้งกระจาย หากสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ นอกจากนี้ กฎหมายได้กำหนดให้แสดงคำเตือนที่ฉลากของแป้งฝุ่น สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ว่า “ระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูกและปากของเด็ก”
หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
21 กรกฎาคม 2566
แนะนำเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมวันนี้ โดยเฉพาะบริเวณแยกปทุมวันในช่วงเย็น
พลตำรวจตรี จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ในวันนี้จะมีการชุมนุมฯ ของกลุ่มต่างๆ ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากการชุมนุม คือ บริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการพักค้างแรม กระทบ ถนนราชดำเนินนอกช่องคู่ขนานฝั่งกระทรวงฯ บริเวณสถานทูตรัสเซีย เริ่มเวลา 06.00 น. และ 10.00 น. กระทบทางเท้าหน้าสถานทูตรัสเซีย ถนนทรัพย์ฯ บริเวณเกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 15.00 น. กระทบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แนะนำให้ประชาชนใช้เส้นทางคู่ขนานกับจุดที่มีการชุมนุมดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการนัดชุมนุมบริเวณหน้าลานหอศิลป์และสกายวอล์ค เริ่มเวลา 16.00 น. และ 19.00 น. กระทบบริเวณแยกปทุมวัน และเส้นทางถนนพระราม 1 แยกเฉลิมเผ่า - แยกเจริญผล, ถนนพญาไท แยกราชเทวี – แยกจุฬาฯ 12 แนะนำให้ใช้เส้นทางถนนเพชรบุรี ถนนราชดำริ ถนนบรรทัดทอง ถนนวิทยุ ถนนพระราม 4 ถนนอังรีดูนังต์ ซอยจุฬาลงกรณ์ 9 และซอยจุฬาลงกรณ์ 12 ทดแทน โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยอำนวยความสะดวกการจราจรในภาพรวมแล้ว สอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) หมายเลขโทรศัพท์ 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว