สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (10-14 กรกฎาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (10-14 กรกฎาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
10 กรกฎาคม 2566
ประธานรัฐสภา เตรียมนัดตัวแทนวิปวุฒิสภา พรรคการเมือง หารือร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ว่า เป็นวาระสำคัญต้องยึดหลักรัฐธรรมนูญและข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา ทั้งนี้ได้คุยกับประธานวุฒิสภา ในการเชิญวิปวุฒิสภา ตัวแทนพรรคการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกันในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ค.66) เวลา 11.00 น. เพื่อทำความเข้าใจให้การประชุมวันดังกล่าวมีความกระชับมากขึ้น
ส่วนการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้กำหนดไว้ แต่หากมี ส.ส. หรือ ส.ว. เสนอขึ้นมาเป็นญัตติให้ต้องมีการแสดงวิสัยทัศน์จะต้องขอมติจากที่ประชุมก่อน พร้อมปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่วันนี้ (10 ก.ค.66) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นัดประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องการถือครองหุ้น ITV ของนายพิธา ว่า จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมีลักษณะต้องห้ามของนายพิธาหรือไม่ โดยระบุเพียงว่า ยังไม่สามารถตอบได้
ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล นัดหมายมวลชนมาให้กำลังใจนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ว่า เบื้องต้นได้มีการหารือร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สภาและตำรวจ เพื่อวางแผนและเตรียมการอำนวยความสะดวก รวมถึงการรักความปลอดภัย โดยจะใช้สนามอเนกประสงค์ ถนนทหาร เยื้องกับรัฐสภา ซึ่งเป็นพื้นที่ของกรุงเทพมหานครในการรับรองมวลชน ซึ่งกรุงเทพมหานครยินดีให้ใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยสามารถรองรับมวลชนได้ถึง 10,000 คน และจะมีรถสุขา เต็นท์มาบริการให้กับประชาชนเพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกห่างไกลสามารถมีส่วนร่วมติดตามการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้และจะดูแลความปลอดภัยของ ส.ส. และ ส.ว. เพื่อให้การประชุมสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น
ส.ว.เตือนพรรคการเมืองที่จะลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี อาจขัดรัฐธรรมนูญเพราะขาดคุณสมบัติ
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีการถือหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ว่า มีผลต่อการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติ เพราะการที่ กกต. ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นแนวทางที่ชัดเจนถูกต้อง ซึ่งจะแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างได้ หากสืบสวนชัดเจนแล้วตามมาตรา 151 เป็นข้อมูลเดียวกัน สามารถสรุปเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนี้ การยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยก่อนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องของการขัดขวาง แต่เป็นบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนั้นในการทำหน้าที่ ส.ส.และ ส.ว.ตามกฎหมายมาตรา 272 ให้ ส.ส. และ ส.ว.เห็นชอบคนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 159 ดังนั้นการทำหน้าที่ไม่จำเป็นต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ห่วงใย 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ที่ร่วมลงนาม mou จะตัดสินใจเลือกคนที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญหรือไม่เพราะเท่ากับขัดรัฐธรรมนูญ จึงฝากให้แต่ละพรรคไปพิจารณาและไม่อยากให้การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเกิดขึ้น
สำหรับในส่วนของ ส.ว. ยืนยันว่า จะไม่เลือกคนหรือพรรคการเมืองที่กระทบต่อสถาบันแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือมีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่เว้นหมวด 1 และ 2 และยืนยันว่า มี ส.ว.ที่จะลงมติให้นายพิธามีประมาณ 5 เสียงเท่านั้น นอกจากนี้ การที่ประชาชนพูดว่า ส.ว. ไม่เคารพเสียงของประชาชนต้องทำความเข้าใจว่าไม่ควรนำมารวมกันเพราะเป็นคนละเรื่อง การทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของรัฐสภาเป็นคนละส่วนกับที่ประชาชนลงคะแนนในช่วงเลือกตั้ง หากนำมาปนกันหมดจะกลายเป็นว่าหาเหตุผลเพื่อจะสนับสนุน
ส่วนกรณีที่กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เชิญชวนให้ประชาชนมาสนับสนุนนายพิธา ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่ไม่รับผิดชอบ แต่ ส.ว.ไม่กังวลเพราะทำในสิ่งที่ถูกกฎหมายถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
11 กรกฎาคม 2566
ประธานรัฐสภา คาดว่าการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี 13 กรกฎาคมนี้ คาดว่าแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 17.00 น.
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับตัวแทนคณะกรรมาธิการสามัญกิจการวุฒิสภา และตัวแทนจากพรรคการเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจในการประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันจะทำให้การประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะมีการลงมติเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. ซึ่งก่อนการจะมีการลงมติจะมีการเปิดโอกาสให้ ส.ส. และ ส.ว.อภิปรายก่อน โดยแบ่งเป็นเวลาของวุฒิสภา 2 ชั่วโมง และ ส.ส.ทุกพรรครวมกัน 4 ชั่วโมง โดยไม่กำหนดเวลาของ ส.ส.ผู้ที่จะอภิปราย และหากมีการพาดพิงสามารถชี้แจงได้ในกำหนดเวลาที่เหมาะสม
ส่วนการเปิดโอกาสให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ก่อนการลงมติหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ตามขั้นตอนจะมีการเสนอชื่อบุคคลต่อที่ประชุมรัฐสภาก่อน จากนั้นให้มีการอภิปรายโดย ส.ส. และ ส.ว. ถึงความเหมาะสม คุณสมบัติและเรื่องต่างๆ ได้ เมื่อการอภิปรายเสร็จสิ้น ก่อนมีการลงมติหากมี ส.ส. หรือ ส.ว. เสนอให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์จะต้องขอมติจากที่ประชุม เนื่องจากข้อบังคับการประชุมไม่ได้กำหนดขั้นตอนนี้ไว้
ประธานรัฐสภายังปฏิเสธตอบคำถาม หากวันดังกล่าวรัฐสภาไม่สามารถลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในครั้งแรก ในการประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งถัดไปจะสามารถเสนอชื่อนายพิธาได้อีกหรือไม่ เนื่องจากยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าการลงมติครั้งแรกผลจะเป็นอย่างไร จึงขอให้การประชุมครั้งแรกผ่านพ้นไปก่อน หากยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัฐสภาจะต้องดำเนินการหาตัวบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐสภา
ประธานรัฐสภา ยังยืนยันไม่กังวล ในวันดังกล่าวจะมีมวลชนมาติดตามการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัย ส.ส. และ ส.ว. รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐสภา ที่มาปฏิบัติหน้าที่ และในวันนี้ (11 ก.ค.66) ได้นัดประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานหลังประกาศสถานการณ์การชุมนุมสาธารณะให้ผู้ที่จะมาชุมนุมต้องปฏิบัติตามกติกาและกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้ รวมถึงจะมีการถ่ายทอดระบบภาพและเสียงการประชุมไปยังสถานที่ที่กรุงเทพมหานครจัดไว้รองรับผู้ชุมนุมด้วย โดยหวังว่า การประชุมในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อไปบริหารประเทศ พร้อมหวังว่าทุกพรรคการเมืองที่จะนำมวลชนมาขอให้พูดคุยกับมวลชนให้เข้าใจเพราะเชื่อในเจตนาดีของประชาชนที่ต้องการเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่และเห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ซึ่งหากเกิดเหตุความวุ่นวายและการประชุมไม่เรียบร้อยจะทำให้การได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ล่าช้า กระทบต่อความเชื่อถือและเศรษฐกิจของประเทศด้วย
กกต.จะหารือกรณีคุณสมบัติความเป็น ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่อวันพรุ่งนี้ เพื่อความรอบคอบ
นายอิทธิพร บุญประครอง ประธาน กกต. เปิดเผยว่า การประชุม กกต. วันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ที่ขอให้ กกต. ปฎิบัติตามระเบียบสืบสวนฯ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า กกต.ได้ปฎิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากกรณีนี้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 มิใช่การดำเนินการสืบสวนไต่สวนการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบสืบสวนฯ ที่ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 กำหนดว่า ในกรณีที่ กกต. เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.คนใดมีเหตุสิ้นสุดลง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ สอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยให้ไว้ในการพิจารณายื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ซึ่ง สำนักงาน กกต. จะได้มีหนังสือตอบผลการพิจารณาของที่ประชุมให้นายพิธาทราบต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายพิธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เสนอต่อที่ประชุมในวันนี้ โดยที่ประชุมรับทราบและเห็นว่า เพื่อความละเอียดรอบคอบ ที่ประชุมจะพิจารณารายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปในวันพรุ่งนี้(12 ก.ค.)
12 กรกฎาคม 2566
ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องตรวจสอบสมาชิกภาพ ส.ส. ‘พิธา’ สิ้นสุดลงตามคำร้องของ ‘กกต.’ หรือไม่ ไว้ในทางธุรการแล้ว
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งศาลฯ ได้ลงรับคำร้องไว้พิจารณาในทางธุรการแล้ว และจะได้นำเสนอคำร้องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2563 มาตรา 49 ต่อไป
ขณะเดียวกันที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ....กฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หรือไม่ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง แล้ว แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการตามที่ร้องขอภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7(3) แจ้งให้ผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 45 และเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา แจ้งอัยการสูงสุดว่าหากอัยการสูงสุดได้รับพยานหลักฐานใดเพิ่มเติม ให้จัดส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
นายกฯ ขอบคุณทุกกำลังใจและขอทำงานในเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด เชื่อว่าทุกฝ่ายจะเดินหน้าตามกลไกรัฐสภาและพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบข้อความส่งกำลังใจ คำขอบคุณ คำอวยพรและความหวังดีที่ประชาชนส่งมาให้ทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย รู้สึกซาบซึ้งใจและขอขอบคุณทุกคนที่ส่งความปรารถนาดีดังกล่าวและขอให้สิ่งดีๆ ตอบแทนกลับไปเช่นเดียวกัน ในห้วงเวลานี้ขอใช้เวลาที่มีทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ได้รับทราบเสียงสะท้อนจากประชาชนที่พูดถึงผลงานต่างๆ ริเริ่มดำเนินการไว้สร้างความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนให้ประเทศชาติ เช่น การจัดงานประชุม APEC และนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่สากล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางบก-ทางน้ำ-ทางอากาศ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G ระบบพร้อมเพย์ การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุฯ สะสมเงินสำรองระหว่างประเทศ จนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในปี 2565 และซื้อทองคำเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากที่สุดในเอเชีย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่ก้าวก่ายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและอำนาจฝ่ายตุลาการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้การรักษาการจะมีจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งเป็นกลไกปกติของรัฐสภา เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณคนไทยทุกคนที่ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองไปข้างหน้าและยังธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต่อไป
13 กรกฎาคม 2566
กกต. ชี้แจง ส่งศาล รธน. กรณีคุณสมบัติ “พิธา” ทำตามรัฐธรรมนูญและระเบียบ กกต. ย้ำไม่ได้เร่งรีบ
สำนักงาน กกต.ชี้แจงกรณีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยระบุว่า ตามที่ กกต.ได้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 และทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 วรรคสี่ บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร... มีเหตุสิ้นสุดลง... ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย...” การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย กกต. ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้กล่าวคือ มาตรา 82 วรรคสี่ บัญญัติให้ กกต. เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ และกรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือการกระทำอันอาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะต้องนำบทบัญญัติตามมาตรา 43 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 และข้อ 54 ของระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 มาใช้บังคับแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อปรากฏว่า สมาชิกภาพของ ส.ส. คนหนึ่งคนใด มีเหตุสิ้นสุดลง กกต. จะดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริง โดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา หรือให้ ส.ส. ผู้มีเหตุสิ้นสุดสมาชิกภาพนั้น มารับทราบข้อกล่าวหา หรือให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหา ทั้งสิ้น เพราะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิของตนเองไปชี้แจงข้อเท็จจริงและเสนอพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ตามบทบัญญัติของ พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วางแนวทางในเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว รายละเอียดปรากฏตาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 14/2562 เรื่องพิจารณาที่ 10/2562 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562
ส่วนข้อกล่าวอ้างว่า กกต. เร่งรัดพิจารณาและดำเนินการอย่างเร่งรีบ ไม่ละเอียดรอบคอบนั้น ขอชี้แจงว่า การดำเนินการของ กกต. เป็นเพียงกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง โดยไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดว่า บุคคลหนึ่งบุคคลใดมีเหตุสิ้นสุดสมาชิกภาพฯ ยืนยันว่า กกต. ไม่ได้ดำเนินการอย่างเร่งรีบ หรือเร่งรัดที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเสร็จสิ้นเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้ กกต. ได้ใช้ระยะเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ดังนั้น การส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย เป็นกระบวนการที่ กกต. ปฏิบัติตามมาตรา 82 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ทุกประการ
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีมติไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วันนี้ (13 ก.ค.66) ภายหลังนายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยมีผู้เสนอชื่อเพียง 1 รายชื่อ
จากนั้นเป็นการเปิดให้สมาชิกอภิปรายถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม รวมถึงนโยบายของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ ซึ่งในส่วนของตัวแทนของ ส.ส. 10 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม และ ส.ว. ได้อภิปรายคัดค้านการลงมติเลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกังวลต่อประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เช่น นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา ย้ำว่านโยบายการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการละโทษอย่างมีเงื่อนไขต่อบุคคลที่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคารพสถาบันที่บุคคลจะละเมิดมิได้ เสมือนกับเป็นการแก้รัฐธรรมนูญในบทการคุ้มครองฐานะขององค์พระมหากษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นการนิรโทษกรรมจำเลยและผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ทั้งหมด
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ชี้แจงสรุปโดยยืนยันว่า พรรคมุ่งมั่นธำรงค์สถาบันพระมหากษัตริย์และไม่ต้องการให้มีคนบางกลุ่มนำมาใช้โจมตีทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง สร้างความแตกแยกในสังคม โดยเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ปัญหาอย่างมีวุฒิภาวะ จัดวางพระราชอำนาจให้เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ และธำรงสถาบันสง่างามในสังคมไทย ซึ่งพร้อมเป็นฉันทามติในความปกติใหม่ เรียกร้องสมาชิกรัฐสภาคืนความปกติให้การเมืองไทย ยึดหลักการ กล้าหาญ เดินตามฉันทามติที่ประชาชนตัดสินใจแล้วผ่านการเลือกตั้งด้วยการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยความหวัง พร้อมขออย่าให้ความคลางแคลงใจมาปิดกันประเทศไม่ให้เดินหน้าต่อ
จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติเป็นการเปิดเผย ด้วยการเรียกชื่อสมาชิก ส.ส. และ ส.ว. ตามลำดับอักษรเป็นรายบุคคล และให้ออกเสียงโดยการกล่าวเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งผลการลงมตินายพิธา ได้คะแนนเห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง และงดออกเสียง 199 เสียง ซึ่งถือว่าไม่ได้รับความเป็นชอบให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากคะแนนไม่เกินกึ่งหนึ่ง หรือ 375 เสียง ของสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมด 749 เสียง ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าจะต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีภายในกี่วัน ซึ่งจากนี้การนัดประชุมรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ส.ส.สามารถรวบรวมเสียงเสนอชื่อบุคคลเดิมหรือบุคคลใหม่เป็นนายกรัฐมนตรีได้
14 กรกฎาคม 2566
พรรคก้าวไกล ยื่นประธานรัฐสภาขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ยกเลิกอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. ของพรรคร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ยกเลิกอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีต่อประธานรัฐสภา เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีให้กับประชาชน เนื่องจากการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี วานนี้(13 ก.ค.66) มีสมาชิกวุฒิสภาได้งดออกเสียงจำนวน 199 เสียง และขาดประชุม จำนวน 43 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่ต้องการใช้สิทธิ์และอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้นเมื่อไม่ประสงค์จะใช้อำนาจดังกล่าว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม พรรคก้าวไกลจึงเสนอทางออกเพื่อตอบโจทย์ให้กับ ส.ว. และระบบรัฐสภาของไทย รวมถึงเพื่อให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้ และให้มีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด พร้อมย้ำว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นคนละส่วนกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จึงเห็นว่าสามารถดำเนินการคู่ขนานไปได้ ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรี พรรค ยังยืนยันเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยพรรคจะเดินหน้าพยายามพูดคุยทำความเข้าใจกับ ส.ว. เพื่อขอเสียงสนับสนุนต่อไป
ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวหลังรับเรื่องว่า จากนี้จะดำเนินการตามขั้นตอน โดยตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อและดำเนินการตามขั้นตอนให้เร็วที่สุดต่อไป
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยอมรับกังวลขั้วเก่าเตรียมผลักดัน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ย้ำยังเคารพก้าวไกลนำจัดตั้งรัฐบาล
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการหารือระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ในช่วงเย็นวันนี้ (14 ก.ค.) โดยไม่ยืนยันว่า จะได้ข้อสรุปการเสนอบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาในครั้งที่ 2 หรือไม่ ด้วยพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย จะต้องหาข้อสรุปให้ได้ก่อน เพราะหากไม่มีความเห็นร่วมกัน และนำเสนอรายชื่อเข้าไปในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ อีกฝ่ายก็เตรียมเสนอชื่อแข่ง และ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล อาจต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งเชื่อว่า ประชาชนจะรับไม่ได้
สำหรับตอนนี้ยอมรับว่า มีความกังวลต่อกระแสข่าวที่การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 จะมีชื่อพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา เพราะมีโอกาสที่พลเอก ประวิตร จะได้รับเสียงจากขั้วรัฐบาลเก่า 188 เสียง และสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียง ส่วนพรรคเพื่อไทยยังเคารพสิทธิของพรรคก้าวไกล ที่มีสถานะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่การจะสนับสนุนต่อหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกล ที่จะเป็นผู้เสนอในที่ประชุมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล รวมถึง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลก่อน พร้อมยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นายพิธา จะได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา จากสภาวะทางการเมืองที่ไม่ปกติ
นายแพทย์ชลน่าน ยังย้ำถึงโอกาสที่ 8 พรรคร่วมจะเสนอเปลี่ยนตัวนายพิธา เป็นบุคคลอื่นเพื่อชิงนายกรัฐมนตรีว่า จะต้องอยู่ที่ข้อเสนอและการพูดคุยใน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากพรรคก้าวไกล จะยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนนายพิธา ก็ถือเป็นสิทธิของพรรคการเมืองอันดับ 1 และพรรคเพื่อไทยก็จะสนับสนุนสุดความสามารถ พร้อมมั่นใจว่า การเลือกนายกรัฐมนตรี จะไม่ถึงทางตัน เพราะประเทศชาติต้องมีนายกรัฐมนตรีและมีรัฐบาล ประชาชนต้องมีโอกาสและเชื่อว่า ทุกฝ่ายจะไม่ปิดโอกาสให้ประเทศชาติและประชาชน
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
10 กรกฎาคม 2566
ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ส่งออกทุเรียนไปจีน มากเป็นอันดับ 1
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 (มกราคม-เมษายน) มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวมกว่า 25,831 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึงร้อยละ 74 โดยทุเรียนสดเป็นสินค้าอันดับ 1 ที่มีการใช้สิทธิ FTA ส่งออกไปจีน ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2,022 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ตามผลผลิตและความนิยมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง
กรมการค้าต่างประเทศ ลงพื้นที่เพื่อเข้าถึงผู้ประกอบการไทยในภูมิภาคต่างๆ ให้ทราบถึงประโยชน์จากการใช้สิทธิ FTA โดยเฉพาะทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าร้อยละ 0 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และกรอบความตกลง RCEP ซึ่งถือเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับกรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นการใช้สิทธิส่งออกไปอินโดนีเซียสูงสุด รองลงมาเป็นความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA)
ขณะที่ความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศคือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 421 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 106 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน สินค้าส่งออก อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง เครื่องดื่มชูกำลัง มันสำปะหลังเส้น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้กับประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายที่ความตกลง RCEP ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ด้วย ส่งผลให้ขณะนี้ ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิกครบทั้ง 15 ประเทศเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ผู้ส่งออกไทยได้มีทางเลือกในการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ต่างๆ ที่ไทยมีอยู่ได้มากขึ้น
11 กรกฎาคม 2566
บีโอไอ ร่วมกับ 7 หน่วยงาน ดึงลงทุน ‘GAC AION’ ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าจีน เงินลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ ร่วมกับบริษัท GAC AION New Energy Automobile หรือ GAC AION ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจีน ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 2.7 แสนคันในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6 แสนคันในปีนี้ โดยบริษัทดังกล่าวได้ตอบรับเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะใช้เงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บีโอไอได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน 7 หน่วยงาน ร่วมกันให้ข้อมูลแก่บริษัท ทั้งในเรื่องของข้อกำหนดเกี่ยวกับเขตปลอดอากรและเขตประกอบการเสรี การจัดตั้งบริษัทในไทย การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า การจัดหาผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ได้มาตรฐานในประเทศและมาตรการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ และมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของกระทรวงการคลัง(EV 3) รวมทั้งร่างมาตรการใหม่(EV 3.5) เพื่อสร้างความชัดเจน ละความมั่นใจให้กับ GAC AION ในการเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาคอาเซียน
คณะผู้แทนการค้าไทยเยือนบราซิล เจรจาจับคู่ธุรกิจ ซื้อขายสินค้าสร้างมูลค่ากว่า 79 ล้านบาท
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนภาคเอกชนไทย ในกลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง และอาหารแปรรูป เดินทางเยือนประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 5-8 กรกฎาคม 2566 เพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยและผลักดันการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้ได้ตามเป้า พร้อมใช้โอกาสนี้ จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 19 บริษัท และผู้นำเข้าบราซิล 19 บริษัท ในกลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง และอาหารแปรรูป ส่งผลให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ จำนวน 103 คู่ สร้างมูลค่าการเจรจาการค้าในงาน จำนวน 145,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.2 ล้านบาท และคาดการณ์สั่งซื้อหนึ่งปี มูลค่า 1,603,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 57.7 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้จัดพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า (MOU) ระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าบราซิล จำนวน 2 คู่ ในกลุ่มสินค้าอาหาร รวมมูลค่าการค้าครั้งนี้กว่า 79.4 ล้านบาท
นายภูสิต กล่าวว่า ได้หารือกับหอการค้าเซาเปาโล (SPCC) เป็นองค์กรที่ส่งเสริมการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากตลาดต่างประเทศ โดยหอการค้าเซาเปาโลได้เชื่อมโยงกับหอการค้าประจำรัฐอื่นๆ ในบราซิล ซึ่งสามารถเป็นกลไกในการเจาะตลาดรัฐที่สำคัญต่างๆ ให้กับไทยได้ ซึ่งหอการค้าเซาเปาโลพร้อมเสริมสร้างความร่วมมือกับกรมและหารือแผนงานในการขยายตลาดระหว่างไทย-บราซิล ต่อไป
12 กรกฎาคม 2566
ธนาคารแห่งประเทศไทย ดึงภาคประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนเข้าใจและเฝ้าระวังภันการเงินจากกลุ่มมิจฉาชีพ
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินการแข่งขันออกแบบการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ หรือ BOT Communication Hackathon ในหัวข้อ “รู้เท่าทันภัยการเงิน” ซึ่งจัดขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ร่วมสร้างการรับรู้ภัยการเงิน เพิ่มภูมิคุ้มกันให้คนไทย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ตระหนักรู้เท่าทันมิจฉาชีพ สามารถระมัดระวังตนจากการถูกหลอก รวมถึงทราบแนวทางการปฏิบัติตนเมื่อถูกหลอก หรือเจอกับภัยทางการเงินในรูปแบบต่างๆ ว่า ที่ผ่านมา ธปท. ตระหนักปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกกลุ่มมิจฉาชีพใช้กลโกงในรูปแบบต่างๆ นำมาใช้หลอกลวงประชาชน จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์เงินทอง จึงได้จัดการแข่งขันออกแบบการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ “รู้เท่าทันภัยการเงิน” ขึ้น ภายโจทย์การแข่งขันสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนตระหนักถึงรูปแบบและกลโกงภัยการเงินในรูปแบบต่างๆ ที่มิจฉาชีพนำมาใช้หลอกประชาชน รวมถึงวิธีระมัดระวังและป้องกันการถูกหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพ ซึ่งมีผู้สนใจร่วมส่งผลงานเข้าแข่งขันกว่า 200 ผลงาน
สำหรับผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัล ธปท. จะบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานนำไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวภัยการเงินแก่สาธารณชนผ่านช่องทางการสื่อสารของ ธปท. และของแต่ละองค์กร หรือท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม ธปท. คาดหวังว่า ผลงานในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยทางการเงินและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดิจิทัล เพื่อให้ผู้ใช้บริการทางการเงินมีความระมัดระวัง รู้วิธีการป้องกัน มีความรอบคอบ มีสติ และไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ
TOPTHAI บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำในต่างประเทศ ช่วย SMEs ไทยกว่า 1 พันราย
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มชื่อดังในต่างประเทศ อาทิ Tmall ของจีน , Amazon ของสหรัฐฯ , Bigbasket ของอินเดีย ,และ Shopee ในตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อผลักดันสินค้า SMEs ขายผ่านร้านค้า TOPTHAI โดยปัจจุบันมีแบรนด์สินค้าไทยเข้าร่วมโครงการกว่า 2,000 แบรนด์ และมียอดขายที่เกิดขึ้นจริงรวมกว่า 600 ล้านบาท นับเป็นความสำเร็จในการเปิดร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์มพันธมิตรอีคอมเมิร์ซชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ sme ของไทย ให้มีโอกาสขยายตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์
สำหรับแผนการทำงานต่อไป จะขยายร้านค้า TOPTHAI ไปยังตลาดศักยภาพอื่น เช่น ตะวันออกกลาง เอเชีย และยุโรป ซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการเชิงรุกเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มเติมกับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างๆ อาทิ eBay Lazada ส่วนกลุ่มพันธมิตรเดิม มีแผนการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และจะขยายกลุ่มสินค้าให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งกลุ่มสินค้า BCG สินค้า Future Food และสินค้าประเภทงานดีไซน์ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์โครงการ TOPTHAI แก่ผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างเข้าใจและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่สนใจได้เข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น ผ่านกิจกรรม Cross Border e-Commerce.ขายออนไลน์สู่ตลาดโลก ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปีทั้งรูปแบบ Onsite และ Online และการรับสมัครผู้ประกอบการจากงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่กรมจัดขึ้น
13 กรกฎาคม 2566
ภาคเอกชนชี้ “ธุรกิจการพิมพ์-บรรจุภัณฑ์” ปี 66 ฟื้นตัว มูลค่าตลาดกว่า 300,000 ล้านบาท ผลักดันไทยมุ่งสู่ฐานผลิตใหญ่ในอาเซียน
นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคมการพิมพ์ไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ร่วมกับสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทยและสมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย จัดงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ การพิมพ์และกระดาษลูกฟูกแห่งภูมิภาคเอเชีย หรือ PACK PRINT INTERNATIONAL 2023 and CorruTec Asia 2023 ครั้งที่ 9 โดยนำผู้ประกอบการกว่า 150 บริษัทชั้นนำจาก 20 ประเทศทั่วโลก พร้อมดึงศักยภาพการผลิตและชูนวัตกรรมใหม่สมัยใหม่ระดับภูมิภาค ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมการพิมพ์ประเทศไทยได้สนับสนุนทั้งตัวสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ให้กับสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งขณะนี้ไทยมี GDP อยู่ที่ 16.5 ล้านล้านบาท โดยอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 1.8 มีมูลค่าราว 300,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ร้อยละ 60 และอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ร้อยละ 40 เป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการพิมพ์ที่รองรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมไปถึงปัจจัยของการเลือกตั้งในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาทำให้มีเงินสะพัดกว่า 20,000 - 30,000 ล้านบาท และสร้างมูลค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมการพิมพ์ทั้งระบบประมาณ 120,000 ล้านบาท
สำหรับประชาชนที่สนใจ มหกรรมแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ การพิมพ์ และกระดาษลูกฟูกแห่งภูมิภาคเอเชีย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 23 กันยายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
รฟท.เตรียมนำหัวรถจักรไอน้ำ รุ่นแปซิฟิก รุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จัดขบวนรถพิเศษนำเที่ยวเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2566 การรถไฟฯ จัดขบวนรถพิเศษนำเที่ยวรถจักรไอน้ำ เส้นทางกรุงเทพถึงฉะเชิงเทรา เพื่อร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมกับเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทาง ย้อนอดีตบนเส้นทางรถไฟสายเมืองแปดริ้ว เริ่มเปิดจำหน่ายตั๋วโดยสารพร้อมกันทั่วประเทศ วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
สำหรับการจัดขบวนรถพิเศษนำเที่ยวรถจักรไอน้ำเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ การรถไฟฯ ได้นำหัวรถจักรไอน้ำ รุ่นแปซิฟิก หมายเลข 824 และ 850 รุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตโดยบริษัท นิปปอน ชาร์เรียว จำกัด เริ่มนำมาใช้งานตั้งแต่ปี 2492 ซึ่งปัจจุบันได้เก็บรักษาและซ่อมบำรุงอยู่ที่โรงรถจักรธนบุรีมาให้บริการลากจูง ขบวนที่ 903/904 ออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 08.10 น. ถึงสถานีฉะเชิงเทรา เวลา 09.50 น. จากนั้นนักท่องเที่ยวมีเวลาเดินทางไหว้พระขอพรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และช้อปสุดคุ้มกับสินค้าขึ้นชื่อต่างๆ มากมายของชุมชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง และเดินทางกลับออกจากสถานีฉะเชิงเทรา เวลา 16.30 น. ถึงกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 18.10 น.
สำหรับอัตราค่าโดยสาร รถธรรมดาชั้น 3 ไป - กลับ ผู้ใหญ่/เด็ก ราคา 299 บาท และตู้โดยสารปรับอากาศ (รถโอทอป) ราคา 799 บาท บริการอาหารว่างและน้ำดื่มทั้งเที่ยวไป - กลับ ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารและสำรองที่นั่งล่วงหน้า (สูงสุด 30 วัน) ด้วยระบบ D-Ticket หรือที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ
14 กรกฎาคม 2566
กยศ.ชวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่วมมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 15 - 16 ก.ค.นี้
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า กยศ. ร่วมจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า วันที่ 15 - 16 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องประชุมสยามมนต์ตรา คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมสยามแกรนด์ อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการและพันธมิตร กลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ภูมิภาคจังหวัดอุดรธานี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย และจังหวัดหนองบัวลำภู ที่ประสบปัญหาหนี้สินได้รับการช่วยเหลือ โดยจะมีการเปิดการเจรจาแก้ไขปัญหาหนี้ร่วมกัน ตลอดจนการให้บริการอบรมความรู้ทางการเงิน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
หอการค้าไทย ประเมินสถานการณ์การโหวตเลือกนายกฯ เชื่อทุกฝ่ายจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วานนี้ (14 ก.ค.66) โดยหอการค้าฯ เชื่อว่า กระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยในทางรัฐสภาได้พยายามเดินหน้าอย่างเต็มที่ ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังไม่สามารถผ่านการลงคะแนนได้ในครั้งแรก แต่ยังมี Timeline ครั้งที่ 2 - 3 ตามที่มีกำหนดออกมาเบื้องต้นในวันที่ 19 และ 20 ก.ค. โดยยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกระบวนการหารือและทำความเข้าใจร่วมกัน ในที่สุดทุกฝ่ายจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ และสนับสนุนให้เกิดรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด เพราะหากได้รัฐบาลล่าช้าออกไป การจัดตั้ง ครม. และการประกาศนโยบายต่อรัฐสภาอาจจะเกิดขึ้นช่วง ส.ค.- ก.ย. และกว่าจะจัดทำงบประมาณแล้วเสร็จอาจได้เริ่มใช้งบประมาณประเทศในไตรมาส 2 ปี 67 ซึ่งจะล่าช้าและกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ภาคเอกชนต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่รวดเร็วที่สุด เพื่อเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สังคม
10 กรกฎาคม 2566
สมอ.เตือนประชาชนและผู้บริโภค ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าทางออนไลน์ให้ดูเครื่องหมาย มอก. QR Code เพื่อความปลอดภัย
นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ได้มีการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและทางออนไลน์อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเฝ้าระวังผ่านระบบ National Single Window หรือ NSW อย่างใกล้ชิด ตลอดจนเปิดรับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐานผ่านทางออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งพบว่ามีข้อร้องเรียนจากการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ สมอ. ได้ยึดอายัดสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งจากการนำเข้า ผลิตและจำหน่าย เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 52,202,410 บาท โดยสินค้าที่มีการยึดอายัดสูงสุด ได้แก่ สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 24,397,974 บาท เป็นการยึดอายัดจากแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด มีมูลค่าสูงถึง 10,627,043 บาท รองลงมาเป็นสินค้ากลุ่มยานยนต์ กลุ่มพลาสติกมูลค่า กลุ่มเหล็กมูลค่า กลุ่มเครื่องมือแพทย์มูลค่า กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มโภคภัณฑ์ ตามลำดับ
เลขาธิการ สมอ. ได้เน้นย้ำผู้บริโภค ให้เลือกซื้อที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. รับรอง คู่กับ QR Code ที่ยืนยันข้อมูลผู้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเท่านั้น หาก สมอ. ตรวจพบว่ามีการลักลอบทำหรือนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน จะดำเนินการตามกฎหมายทันที
กทม.เข้มงวด ห้ามผู้ใจบุญบริจาคอาหารให้คนไร้บ้านบริเวณถนนราชดำเนิน เนื่องจากมีจุดที่จัดไว้ให้แล้ว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 15/2566 ถึงการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน บริเวณถนนราชดำเนินว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีจำนวนคนไร้บ้านลดลงซึ่งเป็นข้อมูลจากกระทรววงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษญ์ (พม.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจ คาดว่าลดลงจาก 1,600 คนเหลือ 1,400 คน สถานการณ์ในภาพรวมอาจดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาอยู่ในบริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งมีผู้ใจบุญนำอาหารมาแจกเป็นประจำ ทำให้คนไร้บ้านในบริเวณนี้มีพฤติกรรมที่จะนอนรอคอยอาหารและสิ่งของบริจาคในบริเวณนี้ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการผลักดันกลุ่มคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ถนนราชดำเนิน รวมทั้งห้ามปรามประชาชนผู้ใจบุญบริจาคอาหาร สิ่งของและทรัพย์สินให้กลุ่มคนไร้บ้านในบริเวณนี้ เนื่องจากได้จัดพื้นที่สำหรับแจกจ่ายอาหารให้แก่คนไร้บ้านในบริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้าและจุดบริเวณตรอกสาเก ถนนอัษฏางค์ ไว้แล้ว
นอกจากนั้น กรุงเทพมหานคร ยังมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิทธิ์ต่างๆ ของคนไร้บ้าน เช่น การหางานให้กับคนไร้บ้านไปแล้ว 169 ตำแหน่ง มีการทำบัตรประชาชนให้คนไร้บ้าน ดำเนินการย้ายสิทธิ์การรักษาพยาบาลให้ มีบริการซักผ้า อาบน้ำและตัดผม รวมทั้งการจัดการส่งคนไร้บ้านกลับภูมิลำเนาด้วย นอกจากนี้ ภายในปี 2567 จะมีการจัดทำบ้านอิ่มใจ บริเวณสะพานวันชาติ เพื่อเป็นจุดพักพิงของคนไร้บ้านด้วย
ผลสำรวจระดับชาติ ไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้น
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวในการเปิดผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย หรือ MICS ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ว่า การสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับแนวโน้มด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย การศึกษา ภาวะโภชนาการของเด็กและการแต่งงานก่อนวัยอันควร ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการดำหนดนโยบาย หรือมาตรการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและสตรีของไทยให้ครอบคลุมทุกด้าน
ด้านนางปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาต กล่าวว่า ผลสำรวจพบว่า อัตราการคลอดในวัยรุ่นของไทยลดลงจาก 23 คนต่อ 1,000 คนในปี 2562 เหลือ 18 คน เด็กอายุ 1-14 ปีที่เคยถูกลงโทษด้วยวิธีรุนแรงที่บ้านลดลงจากร้อยละ 75 เหลือร้อยละ 54 สะท้อนว่าครอบครัวไม่ยอมรับความรุนแรงมากขึ้น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 29
ผลสำรวจยังแสดงความน่ากังวล ด้านการศึกษาและพัฒนาการของเด็กจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากอัตราการเข้าเรียนหลักสูตรปฐมวัยอายุ 3-4 ปีลดลงจากร้อยละ 86 จากปี 2562 เหลือร้อยละ 75 การเข้าเรียนของเด็กอายุ 5 ปีลดลงจากร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 88 และอัตราของเด็กปฐมวัยที่มีความพร้อมเข้าโรงเรียนลดลงจากร้อยละ 99 เหลือร้อยละ 94 ขณะที่เด็กวัยประถมศึกษาไม่ได้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4 และการไม่ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลายไม่ได้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ด้านการใช้เวลาของเด็กในการเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 62 ของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจำนวนนี้ใช้เวลาเล่นเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวันหรือนานกว่านั้น เด็กใช้เวลาอ่านหนังสือที่บ้านน้อยลง พ่อแม่ผู้ปกครองทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กน้อยลงเหลือร้อยละ 31 โดยที่ทักษะพื้นฐานด้านการอ่านและการคิดเลขของเด็กวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 มีแนวโน้มแย่ลง แบ่งเป็นการอ่านเหลือร้อยละ 40 และการคำนวน พร้อมกันนี้ยังพบข้อมูลเด็กและเยาวชนสมรส หรืออยู่กินกับผู้ชายก่อน 15 ปี และ 18 ปีเพิ่มมากขึ้น
เตือนคนไทยระวังนายหน้าเถื่อนหลอกไปทำงานเกษตร ประเทศออสเตรเลีย
นายสันติ นันตสุวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยความคืบหน้าการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานเกษตรที่ออสเตรเลียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ว่า ปัจจุบันรัฐบาลออสเตรเลียได้เปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่และได้ยกเลิกข้อเสนอในการสนับสนุนให้คนไทยเข้าร่วมโครงการวีซ่าแรงงานเกษตรออสเตรเลียแล้ว ดังนั้น ปัจจุบันไม่มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย ในการจัดส่งคนไทยไปทำงานเกษตรออสเตรเลียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยวิธีรัฐจัดส่งอีกต่อไป
ขอเตือนแรงงานไทยที่ต้องการไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย อย่าหลงเชื่อนายหน้าที่ชักชวนไปทำงาน เนื่องจากไม่มีการออกวีซ่าทางการเกษตรของออสเตรเลียให้แก่ผู้ใด ขอให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อการโฆษณาจากองค์กร หรือบุคคลใดที่อ้างว่าสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่านี้ได้ ส่วนการไปทำงานออสเตรเลียตำแหน่งงานอื่นๆ เช่น งานแม่บ้านทำความสะอาด งานร้านอาหาร และงานเก็บผลไม้ แม้คนหางานจะไปทำงานผ่านวิธีบริษัทจัดหางานจัดส่ง หรือจะเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ก็จะต้องดำเนินการแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศกับกรมการจัดหางานก่อน ดังนั้นหากถูกชักชวนไปทำงานออสเตรเลีย หรือพบเห็นโฆษณารับสมัครงานต่างประเทศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ที่มักจะอ้างมีตำแหน่งงาน มีรายได้และสวัสดิการดี แต่หากการโฆษณาไม่มีการระบุเลขที่ใบอนุญาตว่าให้ประกอบธุรกิจจัดหางาน จะถือว่าเป็นการหลอกลวงและเป็นการดำเนินการในลักษณะผิดกฎหมายอย่างแน่นอน
รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เน้นย้ำผู้ที่จะพาคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ หรือผู้ที่จะประกอบธุรกิจจัดหางาน จะต้องมีใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางของกรมการจัดหางาน ส่วนบุคคลใดที่ไม่มีใบอนุญาต มีความผิดตามกฎหมาย โทษทั้งจำและปรับ
หากคนหางานประสบเหตุถูกหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ สามารถไปร้องทุกข์ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ส่วนกลางร้องทุกข์ได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร 10 เขตพื้นที่ หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทรศัพท์หมายเลข 02-248 4792 ,02-245 6763 ในวันและเวลาราชการ หรือสามารถโทรแจ้งร้องทุกข์ได้ที่สายด่วน 1506 กด 2 หรือ 1694
11 กรกฎาคม 2566
เด็กเกิดใหม่ไทยยังมีแนวโน้มลดต่ำลงต่อเนื่อง คาดปีนี้ลดต่ำกว่า 5 แสนคน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันประชากรโลก ซึ่งคณะมนตรีประศาสน์การของสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาได้กำหนดขึ้น ตั้งแต่ปี 2532 เพื่อให้ทั่วโลกตระหนักถึงประเด็นปัญหาของประชากรโลก ซึ่งในปี 2566 ประเทศไทยประสบปัญหาจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดต่ำลงต่อเนื่อง จากเดิมในปี 2506-2526 มีเด็กเกิดใหม่ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคน ลดเหลือ 502,107 คน ในปี 2565 และอาจต่ำกว่า 500,000 คน ในปี 2566 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลีใต้ และอีกกว่า 120 ประเทศ
ขณะที่จำนวนการเกิดลดลงจำนวนผู้สูงอายุกลับเพิ่มขึ้น โดยในปี 2564 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์คือ มีประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20 และในปี 2579 จะเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอดคือ มีประชากรที่อายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปร้อยละ 30 ทำให้ในปี 2566 นี้ เป็นปีแรกที่จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน อายุ 20-24 ปี ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากร ที่ออกจากวัยแรงงาน อายุ 60-64 ปีได้
จากประเด็นปัญหาดังกล่าว กรมอนามัย จึงได้ร่วมกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 ฯ ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 มาต่อเนื่อง แต่พบจำนวนการเกิดยังไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในระยะครึ่งแผนหลัง กรมอนามัยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงได้เสนอมาตรการทางเลือกในการแก้ไขปัญหา อาทิ การส่งเสริมการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุต่ำกว่า 2 ปี การเพิ่มสิทธิการลาในการเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ มาตรการ work from home การยืดหยุ่นเวลางาน การลาคลอดได้ 6 เดือนโดยได้รับค่าจ้าง สิทธิการรักษาและสิทธิการลาเพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก การใช้ AI เข้ามาทดแทนการใช้มนุษย์ในสาขาที่มีความขาดแคลน การเลื่อนการเกษียณอายุให้สูงขึ้น การส่งเสริมการออมสำหรับการเกษียณและการส่งเสริมการสร้างอาชีพรอง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน
ด้าน ดร.นพ.บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนการเกิดนี้ อาจต้องมองในหลายมิติเพิ่มเติม การเพิ่มจำนวนการเกิดจากผู้ที่มีความพร้อมหรือจากคนไทยเพียงอย่างเดียว อาจไม่ทันต่อการรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะกระทบต่อ GDP และความมั่นคงของประเทศในภาพรวม รัฐบาลควรเป็นผู้ลงทุน เพื่อให้เกิดความครอบคลุม เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่ผ่านมา กรมอนามัย ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ชีวิตคู่และการมีบุตร เพื่อพัฒนาศักยภาพคนโสดรุ่นใหม่ ให้มีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้ชีวิตคู่และการมีบุตร ตลอดจนร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ตรงกับความต้องการของประชาชน โดยข้อเสนอดังกล่าวได้นำมากำหนดเป็นมาตรการทางเลือกให้กับรัฐบาลต่อไป
เตือนประชาชนที่ต้องการหางานทำ หรืออยากมีรายได้เสริม ระวังเพจปลอม
นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า มีการตรวจสอบพบข้อมูลบนสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะทางเพจเฟซบุ๊ก ประกาศว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดรับสมัครคนทำงานฝีมือ ส่งงานให้ทำที่บ้าน หรือเปิดรับสมัครผู้สนใจหารายได้เสริม วุฒิ ป.6 ขึ้นไป รายได้ดี ทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการแอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยไม่ได้รับอนุญาต และขอชี้แจงว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไม่มีนโยบายเปิดรับสมัครงานและให้รับงานไปทำที่บ้าน เพราะกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นหน่วยงานที่มีหน้าในการฝึกอบรมอาชีพให้แก่ประชาชน การประชาสัมพันธ์รับสมัครงานดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลเท็จ
ขอแจ้งเตือนประชาชนอย่าได้หลงเชื่อโดยเด็ดขาด หากมีการเชิญชวนในการสมัครเข้าทำงาน หรือเชิญชวนฝึกอบรม ให้ติดต่อกับหน่วยงานราชการโดยตรง เพื่อป้องกันมิให้เกิดการโอนเงินเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
หากประชาชนสนใจสมัครเข้าฝึกอบรมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ติดต่อสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด หรือสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานโดยตรง ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในภูมิภาคทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามทางโทรศัพท์ผ่านสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 4 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ยืนยันว่า การฝึกอบรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการฝึกอบรมฟรี ยกเว้นหน่วยฝึกเฉพาะทางและมีเพียงบางหลักสูตรเท่านั้น อาทิ การฝึกอบรมคนครัวบนเรือ การจัดฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรือ MARA หลักสูตร การซ่อมบำรุงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม เป็นต้น
หากพบว่ามีการเรียกเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่าย หรือแจ้งว่าสมัครเข้าทำงานหรือฝึกอบรมแล้วมีรายได้สูง ขอให้ตรวจสอบสืบค้นข้อมูลให้ชัดเจนจากหน่วยงานราชการโดยตรง เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง จนเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้
กรมควบคุมโรค แนะ 7 วิธีขับขี่ปลอดภัยช่วงฝนตก มีน้ำท่วมขังบนถนน
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน จึงทำให้การสัญจรบนท้องถนนเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เนื่องจากถนนลื่นและทัศนวิสัยทัศการขับขี่ไม่ดี จากสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนบนโครงข่ายถนนของกระทรวงคมนาคม (ทางหลวง ทางหลวงชนบท และทางด่วน) พบว่า ช่วงหน้าฝน ในเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 3 ปีย้อนหลัง ในปี 2563-2565 พบมีการเกิดอุบัติเหตุ 23,077 ครั้ง บาดเจ็บ 10,544 ราย เสียชีวิต 2,764 ราย ขอให้ประชาชนที่ขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนในช่วงฝนตก เพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ
โดยการตรวจสอบสภาพรถและอุปกรณ์ให้พร้อมต่อการใช้งานในฤดูฝน เช่น ที่ปัดน้ำฝน ระบบไฟฟ้า ระบบยาง ระบบเบรก และไม่ควรขับรถเร็วขณะฝนตก หรือถนนเปียก โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตก 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่รถมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดจากการลื่นไถล เพราะน้ำฝนจะชะล้างคราบน้ำมันและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนน ทำให้เกิดเป็นเสมือนแผ่นฟิล์มฉาบอยู่บนผิวถนน อาจส่งผลให้รถลื่นและเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุได้
ด้านนายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวแนะนำว่า ขณะขับขี่ควรปฏิบัติตาม 7 วิธีคือ ลดความเร็วลงกว่าระดับปกติ ความเร็วที่เหมาะสมไม่เกิน 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เปิดไฟหน้ารถเสมอ ใช้ไฟต่ำ เปิดใบปัดน้ำฝน เว้นระยะห่างจากท้ายรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอย่างน้อย 10-15 เมตร หลีกเลี่ยงการแซง กรณีรถลื่นหรือเหินน้ำ ไม่ควรเหยียบเบรกจนล้อหยุดหมุนทันที ควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆ เบรก และเมื่อต้องขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ขอให้หยุดประเมินสถานการณ์ หากระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถ ไม่ควรขับฝ่าไป ควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน หากประชาชนพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ อาจทำให้เกิดอันตรายแทรกซ้อน หรือเกิดความพิการของผู้บาดเจ็บได้ ขอให้โทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ โทร 1669
12 กรกฎาคม 2566
ตลาดแรงงานต้องการช่างเชื่อมใต้น้ำ จ่ายค่าแรงสูงถึง 4,500 บาทต่อชั่วโมง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งจัดฝึกอบรม
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ทักษะเฉพาะด้านงานเชื่อมนั้น ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต้องการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งจ่ายค่าจ้างสูงมาก ถ้าสามารถเชื่อมใต้น้ำได้ด้วยค่าจ้างจะสูงขึ้นไปอีก บางบริษัทจ่ายให้แบบรายชั่วโมงสูงถึงชั่วโมงละ 4,500 บาท ส่วนอัตราจ้างรายวันมีตั้งแต่ 3,200-10,000 บาท ซึ่งการปฏิบัติงานเชื่อมและตัดโลหะมีการจ้างงานหลายลักษณะ ทั้งการทำงานบนฝั่งและนอกชายฝั่งรวมถึงการเชื่อมใต้น้ำด้วยอัตราค่าจ้างจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับทักษะความสามารถ ประกอบกับการขยายตัวด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดที่ติดต่อกับชายฝั่งทะเล ทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อู่ต่อเรือ งานซ่อมบำรุง แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและท่อส่งต่างๆ จำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดแรงงาน มีความต้องการช่างที่มีทักษะฝีมือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นจำนวนมาก จึงเล็งเห็นโอกาสที่จะช่วยให้แรงงานที่เป็นช่างฝีมือได้มีทักษะการเชื่อม โดยเฉพาะการเชื่อมใต้น้ำจึงมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งพัฒนาช่างเชื่อมใต้น้ำให้มากขึ้น เพราะผู้ที่ผ่านการฝึกแล้วมีงานทำอย่างแน่นอน
ด้านนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สงขลา (สพร.12 สงขขลา) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมที่สามารถจัดฝึกอบรมช่างเชื่อมใต้น้ำได้ และเป็นแห่งเดียวที่มีห้องจำลองและอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกเชื่อมใต้น้ำ เร่งจัดฝึกอบรมให้แก่วิศวกร ช่างเทคนิค ผู้ว่างงาน ผู้รับเหมาอิสระ และแรงงานในสถานประกอบกิจการที่ต้องการเพิ่มทักษะการเชื่อมใต้น้ำ โดยมีระยะเวลาการฝึกจำนวน 30 ชม. หรือ 5 วัน ผู้ที่เข้าอบรมจำเป็นต้องมีพื้นฐานทั้งการเชื่อมและการดำน้ำมาบ้างแล้ว โดยคุณสมบัติหลักคือต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้ว่างงานหรือเป็นพนักงานในสถานประกอบกิจการ ที่มีความสามารถในการดำน้ำและปฏิบัติงานเชื่อมได้ มีค่าลงทะเบียนคนละ 15,000 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับการฝึกกับหน่วยงานอื่น อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงคนละ 3 แสนบาท
ผู้ที่สนใจเข้าอบรมสามารถสมัคร หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สงขลา โทร 0 7433 6052 หรือขอรายละเอียดได้ที่นายอุดมพร แก้วสด หัวหน้างานฝึกช่างเชื่อมและตัดโลหะใต้น้ำ โทร 081-2787349 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
ประกันสังคม เร่งเยียวยาทายาทผู้เสียชีวิตเหตุสะพานข้ามแยกถล่ม ย่านลาดกระบัง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือเยียวยาทายาทผู้เสียชีวิตจากเหตุคานสะพานข้ามแยกถล่มในพื้นที่ลาดกระบังว่า สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 10 ตรวจสอบพบว่า ลูกจ้างที่เสียชีวิตเป็นผู้ประกันตนจำนวน 2 ราย ทายาทจึงมีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ล่าสุดญาติได้เคลื่อนย้ายศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาในภูมิลำเนาแล้ว โดยศพของนายอรัญ สังขรักษ์ ญาติได้เคลื่อนย้ายไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนศพของนายฉัตรชัย ประเสริฐ ญาติได้เคลื่อนย้ายไปที่วัดพังกิ่ง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินเยียวยาให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ครอบครัว โดยทายาทของนายอรัญ สังขรักษ์ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน รวมเป็นเงินจำนวน 820,952 บาท แบ่งเป็นค่าทำศพ 50,000 บาท ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต 770,952 บาท
ส่วนทายาทของนายฉัตรชัย ประเสริฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน รวมเป็นเงิน 1,819,190 บาท แบ่งเป็นค่าทำศพ 50,000 บาท ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต 1,680,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพ 89,190 บาท ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดในพื้นที่ภูมิลำเนาของผู้เสียชีวิตทั้งสองราย ได้ลงพื้นที่ประสานทายาทของผู้เสียชีวิต เพื่อนำเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนดังกล่าวไปมอบให้แก่ทายาทโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
ส่วนลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นผู้ประกันตน ขณะนี้ยังคงพักรักษาตัวที่อยู่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต จำนวน 3 ราย มีสิทธิได้รับเงินทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นและสิทธิประโยชน์ทดแทน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะเร่งดำเนินการเยียวยากรณีดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างและทายาทได้รับสิทธิประโยชน์พึงได้ตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป
13 กรกฎาคม 2566
สกมช. นำร่องฝึกและทดสอบแผนเผชิญเหตุ ยกระดับขีดความสามารถในการรับมือภัยไซเบอร์
พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวในการฝึกและทดสอบแผนเผชิญเหตุการเกิดเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ ในระดับวิกฤตในระดับประเทศ Thailand’s National Cyber Exercise 2023 ว่า การฝึกเตรียมการครั้งนี้เป็นกิจกรรมการอบรมเตรียมความพร้อมด้านความรู้ให้กับผู้เข้ารับการฝึก โดยผู้เข้ารับการฝึกจะได้รับฟังการอบรมโดยวิทยากรจากหน่วยงานที่มีประสบการณ์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์มาให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมือ ป้องกัน และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562 เพื่อป้องกันผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานโดยมีหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ รวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับการฝึกเพื่อทดสอบขีดความสามารถทางไซเบอร์ อาทิ ปัญหาการถูกแฮกข้อมูลเรียกค่าไถ่ ถูกฝังมัลแวร์ฝากเว็บพนันออนไลน์
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ย้ำกองทุนประกันสังคมมีเสถียรภาพพร้อมดูแลผู้ประกันตน
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึงรายงานสถานะการลงทุนของกองทุนประกันสังคมว่า ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมมีเสถียรภาพ จากข้อมูลผลการบริหารการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา พบว่า มีเงินลงทุนสะสมของกองทุนประกันสังคมอยู่ที่ 2,271,818 ล้านบาท และในปี 2566 ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีเงินลงทุนสะสมอยู่ที่ 2,345,347ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.24 % เมื่อเทียบกับข้อมูลปี 2565 และจากการประมาณการสถานะกองทุนประกันสังคม
ในปี 2570 คาดว่าจะมีเงินลงทุนสะสมคิด เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีการบริหารสภาพคล่องโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการถือครองหลักทรัพย์ในระยะยาว มีการมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กองทุน ซึ่งผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และสถานะของกองทุนมีเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์ในทุกกรณี
ส่วนมาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพกองทุนประกันสังคมในระยะยาวนั้น สำนักงานประกันสังคมได้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สามารถรองรับวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้ประกันตนเป็นสำคัญ
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำว่า ขอให้ผู้ประกันตนทุกคนมั่นใจ ว่ากองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่มีเสถียรภาพ มั่นคง สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ สำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์ในระยะยาวให้กับผู้ประกันตนทุกกรณีอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถค้นหาข้อมูลการลงทุนและสถานะกองทุนประกันสังคมเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th
เปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน ไปทำงานเกาหลีใต้ในกิจการเกษตรและปศุสัตว์
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน ครั้งที่ 13 เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) โดยในรอบนี้ได้รับโควตาผู้สอบผ่านประเภทงานเกษตร/ปศุสัตว์ เพศชาย จำนวน 2,513 อัตรา ซึ่งภายหลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น จะประกาศรายชื่อผู้ที่มีคะแนนรวมสูงสุดลงมาจนครบจำนวนที่กำหนดตามโควตา และผู้มีรายชื่อตามประกาศดังกล่าวจะมีสิทธิยื่นใบสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบฯ พร้อมขึ้นทะเบียนไว้ 2 ปี นับแต่วันประกาศผลการทดสอบ
สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 14 ก.ค. 66 ไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยสามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th พร้อมศึกษาวิธีการลงทะเบียน คุณสมบัติผู้สมัครและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ที่เมนูข่าวประชาสัมพันธ์ หัวข้อ ประกาศรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 13 ซึ่งแรงงานที่สนใจสมัครทดสอบภาษาเกาหลีฯ ต้องยื่นคำขอการสมัคร โดยคนหางานกรอกข้อมูลการสมัครและแนบเอกสารผ่านระบบออนไลน์ เลือกศูนย์สอบ ซึ่งมีสถานที่สอบให้เลือก 2 ศูนย์คือ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร และศูนย์สอบอุดรธานี มีค่าสมัครสอบ จำนวน 890 บาท สามารถชำระได้ 4 ช่องทาง ได้แก่ เคาน์เตอร์ ATM / ADM ทาง Internet Banking ของธนาคารกรุงไทย และต่างธนาคาร Cross Bank Bill Payment
สำหรับคุณสมบัติผู้สมัคร เบื้องต้นเป็นเพศชาย อายุระหว่าง 18 - 39 ปี ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สายตาไม่บอดสี ร่างกายสมบูรณ์และไม่เป็นโรคติดต่อตามที่ทางการเกาหลีกำหนด ไม่มีประวัติกระทำผิดทางอาญา หรือเป็นภัยต่อสังคมและความมั่นคง ไม่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เป็นต้น
ผู้ที่ยื่นใบสมัครและได้รับการอนุมัติบัญชีรายชื่อแล้ว หากกรณีไม่มีนายจ้างคัดเลือกภายใน 1 ปี กรมการจัดหางานจะต่ออายุบัญชี รายชื่อให้ปีที่ 2 หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมการจัดหางาน สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2
14 กรกฎาคม 2566
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบนิทรรศการกว่า 1000 ผลงานจัดแสดงใน“มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566”
นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. กล่าวว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ จัด มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ2556 หรือ Thailand Research Expo2023 ภายใต้แนวคิด “วิจัยไทยก้าวไกล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยไทย” และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานวิจัยไทย และนำเสนอความก้าวหน้าผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีประโยชน์ มีศักยภาพพร้อมใช้ เพื่อให้เกิดการนำองค์ความรู้ไปใช้ นำไปสู่การกระจายโอกาสให้เกิดการเข้าถึงฐานข้อมูลและองค์ความรู้ด้านงานวิจัยและนวัตกรรม
โดยนำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบนิทรรศการหัวข้อต่างๆ กว่า 1,000 ผลงาน จากหน่วยงานเครือข่ายระบบวิจัย และยังมีการประชุมที่น่าสนใจกว่า 100 หัวข้อเรื่อง อาทิ ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้วยวิจัยและนวัตกรรม การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ - ชุมชนเข้มแข็งและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ CEO Forum for Net Zero ฯลฯ
ขอเชิญชวนนิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป เข้าชมงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566หรือ Thailand Research Expo2023 ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น.– 17.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 22-23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว