สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (3-7 กรกฎาคม 2566)

สรุปข่าวประจำสัปดาห์ (3-7 กรกฎาคม 2566)
การเมือง/มั่นคง
3 กรกฎาคม 2566
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา
เมื่อเวลา 16.50 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดําเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารรัฐสภา ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมายังรัฐสภา ในเวลา 17.15 น. เพื่อทรงรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ณ ห้องประชุมอาคารรัฐสภา ถนนสามเสน แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยมีวงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
ในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งนี้ มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (รักษาการ) และมีศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ
สำหรับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ตามคำอธิบายของพิพิธภัณฑ์รัฐสภา อธิบายว่า “เป็นพิธีการที่สำคัญของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เสมือนเป็นการประกาศให้ประชาชนได้ทราบว่า จะมีคณะบุคคลเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนในการบริหารปกครองประเทศ"
4 กรกฎาคม 2566
ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แสดงวิสัยทัศน์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ที่มีความอาวุโสสูงสุด ทำหน้าที่ประธานการประชุมชั่วคราว โดยได้นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ จากนั้นเข้าสู่ระเบียบวาระในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้เสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีสมาชิกเสนอชื่อบุคคลอื่น จากนั้นได้ให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยกล่าวว่า จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางทางการเมืองและจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะทำงานร่วมกับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน อย่างเป็นระบบ อีกทั้งจะพิจารณากฎหมายที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ จะมีการส่งเสริมให้คณะกรรมาธิการได้ทำหน้าที่เพื่อแก้ปัญหาของประชาชนให้มากที่สุด ตลอดจนจะกำกับดูแลงานของสถาบันพระปกเกล้าอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันจะสนับสนุนให้สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาเป็นสื่อนิติบัญญัติเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยในทุกส่วน
จากนั้น ที่ประชุมได้เข้าสู่ขั้นตอนการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งมีผู้ถูกเสนอชื่อจำนวน 2 รายชื่อ ได้แก่ นายปดิพัทธิ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีการเสนอชื่อมากกว่า 1 รายชื่อ จึงต้องลงคะแนนเลือกโดยการลงคะแนนลับ โดยผลการลงคะแนนปรากฎว่า นายปดิพัทธิ์ ได้รับคะแนนเสียงให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ด้วยคะแนน 312 ต่อ 105 เสียง และงดออกเสียง 77 เสียง มีบัตรเสีย จำนวน 2 ใบ ทั้งนี้ นายปดิพัทธิ์ ได้แสดวงวิสัยทัศน์ว่า เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสภานิติบัญญัติให้กลับมามีตัวตนและศักดิ์ศรีจะไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายบริหาร ที่สำคัญสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นแบบ Smart Parliament เสริมสร้างนิติบัญญัติให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลและเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งทุกฝ่ายต้องติดตามการผ่านร่างกฎหมายได้อย่างโปร่งใส ภายใต้อำนาจอธิปไตยเสริมสร้างบทบาทความเท่าเทียมของความหลากหลายทางเพศ รวมถึงบทบาทสตรี เพราะที่ผ่านมาประชาชนอยากมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ใช่แค่การเลือกตัวแทนเข้ามาทำงาน แต่กระบวนการตรากฎหมายต้องมีคุณภาพ จากประสบการณ์ 4 ปีผ่านมาตนเห็นได้ชัด ว่า ประชาชนต้องการมีส่วนร่วมในการเสนอกฎหมาย จึงขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมอบความไว้วางใจให้กับตัวเอง และพร้อมจะบริการสมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ปราศจากอคติ
ต่อมาที่ประชุมเข้าสู่วาระการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ซึ่งมีสมาชิกเสนอชื่อ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.จังหวัดเชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง แต่เนื่องจากไม่มีผู้เสนอชื่อเพิ่มเติม จึงถือว่าที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้นายพิเชษฐ์เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 โดยนายพิเชษฐ์ แสดงวิสัยทัศน์ว่า จะปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะฟื้นฟูสภาผู้แทนราษฎรประจำภาคต่างๆ 5 แห่ง เบื้องต้นเพื่อให้เป็นประโยชน์กับประชาชนและจะนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าหารือต่อที่ประชุมจาก 2 นาทีเป็นเวลา 3 นาที รวมทั้งจะกอบกู้เกียรติยศศักดิ์ศรีของสภาฯ ให้สามารถทำหน้าที่ถ่วงดุลกับฝ่ายบริหารได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับกรรมาธิการ ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดของรัฐสภา ให้เกิดความเข้มแข็งเพื่อให้สมาชิกมีความปลอดภัย
สำหรับขั้นตอนจากนี้ ต้องรอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาฯ ก่อน จากนั้น ประธานสภาฯ จึงจะนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีกรอบเวลา 15 วัน หลังจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาฯ แล้ว
5 กรกฎาคม 2566
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ 40 ส.ส.
สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 40 รายเช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 มีรายการทรัพย์สินกว่า 85 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ครั้งนั้น นายพิธา แจ้งมีทรัพย์สิน รวมคู่สมรสทั้งสิ้นกว่า 137 ล้านบาท (137,785,190.85 บาท) แต่ในครั้งนี้ ไม่มีคู่สมรส ทำให้เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะ ทรัพย์สินของนายพิธา คนเดียวเมื่อปี 2562 มีการแจ้งไว้กว่า 126 ล้านบาท (126,405,190.85 บาท) เท่ากับว่า นายพิธา มีทรัพย์สินลดลงจากกรณีเข้ารับตำแหน่งกว่า 41 ล้านบาท (41,351,470.67 บาท)
เตรียมนัดประชุมรัฐสภา ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี 13 กรกฎาคมนี้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ว่าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า ได้เชิญเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะมีภายใน 1-2 วันนี้ และเตรียมการสำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรก ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ โดยจะมีวาระที่ให้สมาชิกที่ยังไม่ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ การกำหนดกรอบสมัยประชุมและวันในการประชุมแต่ละสัปดาห์ ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาแล้ว เห็นตรงกันว่าให้กำหนดวันประชุมรัฐสภาในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะมีวาระเลือกนายกรัฐมนตรีหากเลือกครั้งแรกไม่ได้ 376 เสียง ต้องนัดประชุมใหม่หรือไม่ต้องดูสถานการณ์ในวันนั้น เพราะอาจจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีแค่การประชุมครั้งเดียว แต่หากไม่ผ่านต้องวิเคราะห์คะแนนที่ได้ว่าขาดจำนวนเท่าใด จึงจะครบ 376 เสียง โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องไปหาแนวทางประสานก่อนจะมาประเมินว่าจะกำหนดวันประชุมเมื่อใด แต่โดยสรุปรัฐสภาจะต้องประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้เพราะรัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญกำหนดเพื่อไปบริหารประเทศและในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเลือกกี่ครั้งเป็นคนเดิมหรือคนใหม่ต้องดูตามความเหมาะสม ประธานจะตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ต้องปรึกษาทุกฝ่ายเพราะเรื่ององค์ประชุมเป็นเรื่องสำคัญ
ว่าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเลื่อนลำดับ ส.ส. บัญชีรายชื่อหลัง ส.ส.อีก 2 คน จากพรรคก้าวไกลและพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า จะต้องรอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ก่อนและจะเข้าสู่กระบวนการเลื่อนลำดับต่อไป
6 กรกฎาคม 2566
กรอบเลือกนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง หาก 13 กรกฎาคมนี้ยังเลือกไม่ได้ จะนัดลงมติเลือก 19-20 กรกฎาคม
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวว่า ได้กำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรีไว้วันที่ 13 กรกฎาคมนี้ หากไม่ได้จะให้เลือกรอบที่ 2 วันที่ 19 กรกฎาคม และรอบที่ 3 วันที่ 20 กรกฎาคมนี้ คาดว่า 3 วันนี้ น่าจะเพียงพอได้นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่หากไม่ได้จะคุยกันใหม่โดยจะเปิดโอกาสให้ 3 ครั้งก่อน เพราะการเรียกประชุมรัฐสภาบ่อยๆ ซึ่งมีสมาชิกรัฐสภา 750 คน ค่อนข้างลำบาก เวลา 3 วัน ถือว่าเยอะแล้ว จึงอยากให้ได้ภายใน 3 วันนี้
ส่วนกรณีหากกำหนดไว้ 3 ครั้งแรกแล้ว ยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีจะมีการพูดคุยกันใหม่อย่างไรขึ้นอยู่กับที่ประชุมรัฐสภา และ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล จะไปหารือกัน ซึ่งหากพูดคุยกันเป็นการภายในไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ยอมรับว่า ยังไม่ทราบจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่แน่ชัดว่าจะลงมติสนับสนุนให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เท่าที่พูดคุยกับ ส.ว. มีเจตนาที่ดี ที่ต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ประเทศชาติจะได้เดินหน้าได้
7 กรกฎาคม 2566
ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เชื่อว่าวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีจะเป็นไปด้วยความราบรื่น
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรอบการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญปี 2560 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ซึ่งเชื่อว่าการประชุมรัฐสภาในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ จะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย แต่หากไม่เสร็จสิ้นในวันดังกล่าวได้หารือกับประธานวุฒิสภาแล้ว จะนัดประชุมต่อในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ซึ่งน่าจะเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดเพราะเว้นไปหนึ่งสัปดาห์
ทั้งนี้ การประชุมวันที่ 19 กรกฎาคมจะเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับที่ประชุม โดยรัฐสภามีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อไปบริหารประเทศต่อไป เพราะประชาชนและปัญหาของประเทศชาติกำลังรอคอยอยู่ พร้อมมองว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ว. เป็นอิสระที่จะใช้ดุลพินิจตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสมาชิกแต่ละคนจะลงมติอย่างไร แต่เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์ในการใช้ดุลพินิจเพื่อประเทศชาติและประชาชนที่ถือเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นมั่นใจว่าทุกคนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามที่ประชาชนคาดหวัง ขอให้ทุกท่านสนับสนุนให้มีนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้นำของประเทศอย่างดีที่สุด
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องการชุมนุม ว่า ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะชุมนุมภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ และประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามกฏหมายกำหนด
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
3 กรกฎาคม 2566
การค้าการลงทุนไทย-จีน เดินหน้าต่อเนื่อง ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างพื้นที่ EEC
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับผลสำเร็จของการประชุมสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีน (มณฑลกวางตุ้ง) – และไทย สามารถสร้างความร่วมมือระหว่างพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า ซึ่งได้สร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างพื้นที่ EEC และ GBA โดยพื้นที่ GBA ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจีนตอนใต้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พื้นที่ EEC ของไทย ผ่านการเชื่อมโยงจากเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน (One Belt One Road) มายังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งผลจากการประชุมสัมมนาฯ ได้สร้างการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศผ่านการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (Signing Ceremony) จำนวน 10 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคมอุตสาหกรรมไทย – กวางตุ้ง โครงการความร่วมมือการค้าอะลูมิเนียม โครงการอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์อะมิโน การส่งเสริมการลงทุนของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(EV) โครงการความร่วมมือเพื่อนำเข้าส่งออกสมุนไพร โครงการศูนย์โลจิสติกส์ไฮเทค การส่งเสริมการใช้ประโยชน์ไม้หอมกฤษณา การส่งออกรังนกไปยังประเทศจีน โครงการศูนย์แสดงสินค้าและโครงการก่อสร้างศูนย์ E-commerce ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีแนวทางที่จะขยายความร่วมมือในด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีน และการศึกษาระดับอาชีวศึกษาอีกด้วย โดยทางคณะ EEC มีแผนที่จะเดินทางไป Roadshow ณ มณฑลกวางตุ้ง และนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจีนในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานสะอาด แบตเตอรี่ไฟฟ้า และการแพทย์
นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า การวางโครงสร้างความพร้อมใน EEC ที่ดำเนินการมาตลอดอย่างต่อเนื่อง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมไปถึงการพัฒนาบุคคลากร พร้อมรองรับอุตสาหกรรมการลงทุนทุกประเภท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายขับเคลื่อน
เศรษฐกิจอนาคต
ททท. เร่งขยาย Soft Power ไทยในตลาดสเปน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าประเทศ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. จัดงาน “Amazing Thailand Fest 2023” ในนครบาร์เซโลนา ราชอาณาจักรสเปน ขึ้น ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมุ่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมายผ่าน Soft Power : 5F ได้แก่ Food Film Festival Fight และ Fashion ผ่านกิจกรรมการแสดง การสาธิตผลิตภัณฑ์ชุมชน การออกร้านนำเสนออาหารไทย รวมถึงสินค้าและบริการต่างๆ ของไทยที่สอดคล้องกับความนิยมในตลาดสเปน
นอกจากนี้ ยังสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นความต้องการเดินทางของชาวสเปนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงให้เกิดการตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้ ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและความเชื่อมั่นแก่กลุ่มพันธมิตร สื่อมวลชน และนักท่องเที่ยว ตลอดจนแสดงถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นการประสบผลสำเร็จ เนื่องจากได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวสเปน ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ให้ความสำคัญกับการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับสนใจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดย ททท. มุ่งส่งเสริมกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มคู่รักและฮันนีมูน LGBTQ+ และกลุ่ม Millennial ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 26 มิถุนายน2566 มีนักท่องเที่ยวจากสเปนเดินทางสู่ประเทศไทยแล้วจำนวน 47,258 คน
ดีพร้อม ผลักดัน “คพอ.ดีพร้อม” ปี 66 สร้างเครือข่าย SMEs ไทยให้แข็งแกร่ง
นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เปิดเผยว่า ดีพร้อมจัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมให้ดีพร้อม (คพอ.ดีพร้อม) ประจำปี 2566 ขึ้น เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั่วประเทศให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงตามสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก อีกทั้งยังเน้นการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมให้คู่กับชุมชนและก้าวทันในทุกๆ บริบทของการเปลี่ยนแปลง รวมถึงเน้นการยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตในตลาดสากลได้อย่างทัดเทียมและยั่งยืน
สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ มาถ่ายทอดความรู้ในเรื่องของฝึกอบรมด้วยหลักสูตรเนื้อหาที่เข้มข้น เช่น การจัดทำแผนกลยุทธ์ธุรกิจ การบริหารจัดการธุรกิจ การตลาด การเงิน การพัฒนาองค์ความรู้ในมิติต่างๆ สำหรับผู้บริหารองค์กรและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างสมาชิกที่เข้าร่วมอบรม เป็นต้น
คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมให้ดีพร้อมจำนวน 13 รุ่น ซึ่งปัจจุบันในปีนี้ดำเนินการแล้ว 11 รุ่น หรือประมาณกว่า 300 ราย และจะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ธปท.เร่งออกแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ตัดวงจรหนี้
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยทยอยลดลงจากที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90.6 ต่อ GDP
ขณะที่จำนวนบัญชีและยอดหนี้ของสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน จากผลกระทบโควิด-19 (ลูกหนี้รหัส 21) ทยอยปรับลดลงจากจุดสูงสุด เมื่อเดือนตุลาคม 2565 จาก 4.7 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 410,000 ล้านบาท อยู่ที่ 4.4 ล้านบัญชี ยอดหนี้ลดลงอยู่ที่ 310,000 ล้าบาท ทั้งนี้หนี้ครัวเรือนทั้งหมดไม่น่ากังวลหากนำไปใช้เพื่อสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ แม้หนี้ครัวเรือนทั้งหมดหรือประมาณร้อยละ 30 ของหนี้ครัวเรือนไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่ก็มียังความกังวลในกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และส่วนบุคคล อาจทำให้ระยะต่อไป NPL หรือหนี้เสีย ทยอยปรับขึ้นจากกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยที่ แต่จะไม่เกิด NPL Cliff (หน้าผาหนี้) เนื่องจากยังอยู่ในระดับที่สถาบันการเงินบริหารจัดการได้ ซึ่งสอดคล้องกับ Rating agencies และระบบธนาคารพาณิชย์ มีความมั่นคงสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธปท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกลัชิดและผลักดันการดำเนินการตามมาตรการแก้หนี้ระยะยาวกับเจ้าหนี้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อให้เจ้าหนี้ยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ยังกล่าวถึงรูปแบบของหนี้ที่ต้องเร่งแก้ไข มีทั้งหมด 4 กลุ่ม ได้แก่ หนี้เสียที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล หนี้ที่เป็นปัญหาเรื้อรังยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่ปิดจบไม่ได้ เช่น กู้หนี้ใหม่ไม่จ่ายหนี้เก่า จ่ายขั้นต่ำบัตรกดเงินสด เป็นต้น หนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเร็วและอาจเป็นหนี้เสียหรือเรื้อรังในอนาคต เช่น หนี้ภาคเกษตร หนี้ส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต และหนี้นอกระบบ ซึ่งอาจทำให้เป็นหนี้ในระบบมีปัญหาไปด้วย
ธปท.เร่งออกแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ที่ต้องทำอย่างครบวงจร ถูกหลักการ และร่วมมือกับทุกภาคส่วน แนวทางดังกล่าวจะครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ ตั้งแต่การก่อหนี้ไหม่ที่มีคุณภาพ การดูแลหนี้เดิมโดยเฉพาะ NPL และหนี้เรื้อรัง รวมถึงการเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ส่วนรายละเอียดของแต่ละแนวทางในการแก้ไขหนี้ครัวเรือนจะเห็นความชัดเจนช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้หนี้ในภาพรวมลดลงต่ำกว่าร้อยละ 80 ครัวเรือนมีความเป็นอยู่และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น
4 กรกฎาคม 2566
ธอส.เตือนระวัง เฟสบุ๊กเพจปลอมใช้โลโก้ธนาคาร หลอกปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งเตือนภัย ขณะนี้มีมิจฉาชีพแอบอ้างนำตราสัญลักษณ์ของธนาคารไปใช้ในเฟสบุ๊กเพจพร้อมตั้งชื่อ “GH BANK” รวมถึงแอบอ้างใช้คำว่า ธอส. เป็นผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการยื่นกู้สินเชื่อส่วนบุคคลผ่านออนไลน์ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอยืนยันว่า ธนาคารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟสบุ๊กเพจดังกล่าว ซึ่งธนาคารมีเฟสบุ๊กเพจอย่างเป็นทางการในนาม “ธนาคารอาคารสงเคราะห์” เท่านั้น
ธอส.อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลของเฟสบุ๊กเพจดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สามารถติดตามได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
อีอีซี ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยกระดับกิจการสมุนไพรไทยในพื้นที่
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า อีอีซี ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วย “การส่งเสริมธุรกิจด้านสมุนไพรไทยเพื่อการส่งออก” ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติและการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 20 เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบกิจการด้านสมุนไพรไทยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสร้างโอกาสให้ธุรกิจพืชสมุนไพรไทย
นอกจากนี้ จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบกิจการ ด้านสมุนไพรไทยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้การเพิ่มมูลค่าผลิตสมุนไพร ทั้งการจัดจำหน่ายในประเทศและการส่งออกนอกประเทศ ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำให้มีประสิทธิภาพสูง
ทั้งนี้ อีอีซี จะได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจและความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยด้วยนวัตกรรม ให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมีประสิทธิภาพสูง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นสมุนไพรเพื่อการส่งออกในอนาคต
5 กรกฎาคม 2566
ตรวจสอบตู้ของกลางซากสัตว์และสุกรเถื่อน 161 ตู้ หลัง DSI รับเป็นคดีพิเศษ
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร มอบหมายให้นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ รองอธิบดีกรมศุลกากร พร้อมคณะ ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมปศุสัตว์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เข้าตรวจสอบตู้ของตกค้างประเภทสุกรแช่แข็งที่ตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเทียบเรือ D1 ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ที่ 59/2566 กรณี ขบวนการนำเข้าสินค้าประเภท ซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อธิบดีกรมศุลกากร ระบุว่า ภายหลังจากการตรวจสอบตู้สินค้าดังกล่าวเสร็จสิ้น ด่านกักกันสัตว์ชลบุรี กรมปศุสัตว์จะนำไปทำลาย ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่ถูกต้อง โปร่งใส สอดคล้องกับพันธกิจของกรมศุลกากรด้านการปกป้องสังคมและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
กกร. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตร้อยละ 3-3.5 ได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยว
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังคงขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.0-3.5 ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าประเทศกว่า 30 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการจ้างงาน ขณะที่ค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือน อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 90.6 ต่อ GDP ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีข้อจำกัดและระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ ได้ประเมินภาคการผลิตและภาคการบริการ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังคงชะลอตัว รวมถึงธนาคารกลางของประเทศฝั่งตะวันตกมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ภาวะการเงินมีความเข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อใหม่ส่งผลต่อความกดดันของภาคธุรกิจและจำกัดการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวและมีการปรับลด GDP จีน อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.4 - 5.5 จากเดิมร้อยละ 6 ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของภาคการส่งออกไทยในอนาคต
นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กกร. เห็นควรมีการเร่งการใช้จ่ายและการจัดทำงบประมาณในเรื่องเร่งด่วนรวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐไม่สะดุดและถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
6 กรกฎาคม 2566
สัปดาห์นี้ สินค้าอุปโภคบริโภคหลายราคาปรับลดลงและทรงตัว ขณะที่ผลไม้ภาคใต้ ราคายังคงดีต่อเนื่อง
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยสถานการณ์ราคาสินค้า ประจำสัปดาห์นี้ว่า สินค้าเกษตรทรงตัวและเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวเปลือกปทุมธานี ราคาปรับขึ้นอยูที่ตันละ 11,650 บาท ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกเหนียว ราคาทรงตัว มันสำปะหลัง ราคาเฉลี่ย 3.35-3.55 บาท/กิโลกรัม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลดลงเล็กน้อย ราคา 11.33 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ดี และปาล์มน้ำมัน ราคา 6.25 บาท ต่อกิโลกรัม
สำหรับกลุ่มเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ราคาลดลง โดยหมูเนื้อแดง กิโลกรัมละ 138-140 บาท ไก่น่องติดสะโพก เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82 บาท อกไก่ 75 บาท และไข่ไก่ เฉลี่ยฟองละ 4.08 บาท เช่นเดียวกับผักสดที่ราคาลดลงต่อเนื่อง อาทิ ต้นหอม ผักชี และมะนาว ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค ราคาทรงตัวและหลายรายการราคาลดลงตามการจัดโปรโมชัน
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า ได้ติดตามสถานการณ์ผลไม้ในภาคใต้ที่กำลังออกสู่ตลาด พบว่าราคาปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียนเกรด AB ราคาปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 145 บาท ตกเกรดอยู่ที่ 100 บาท/ กก. โดยขอให้เกษตรกรเน้นในเรื่องคุณภาพ อย่าตัดทุเรียนอ่อน เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับทุเรียนไทยและส่งผลดีต่อราคา เนื่องจากขณะนี้ตลาดส่งออกมีความต้องการมากเพิ่มขึ้น หลังระบบขนส่งและโลจิสติกส์มีความคล่องตัว ทั้งนี้ ได้ประสานผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เข้ามาช่วยเปิดพื้นที่ในหมู่บ้านและคอนโดมิเนียม เพื่อนำผลไม้จากภาคใต้เข้าไปจำหน่าย เป้าหมาย 5 หมื่นครัวเรือน ปริมาณ 5,000 ตัน เพื่อช่วยระบายผลผลิตอีกช่องทางหนึ่ง
ไทย-เกาหลี เชื่อมความสัมพันธ์ด้านการค้า ขยายการลงทุนระหว่างกัน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในโอกาสร่วมเปิดงาน G-FAIR ASEAN+ 2023 KOREA Sourcing (ซอร์สซิ่ง )Fair in Thailand ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ในประเทศไทย ว่า สาธารณรัฐเกาหลีและประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมายาวนานกว่า 65 ปี ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศมีความคุ้นเคยและใกล้ชิดกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ผ่าน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว อาหาร และอุตสาหกรรมบันเทิง
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ไทยและเกาหลี มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 16,525 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 576,625 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2564 ถึงร้อยละ 4.48 จึงมั่นใจว่าความร่วมมือที่ผ่านมา ทั้งความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี ตลอดจนการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ที่ลงลึกสู่ระดับเมืองของประเทศคู่ค้า ในรูปแบบ "Mini FTA" ที่ได้ลงนามไปเมื่อปีที่แล้วกับจังหวัดคยองกี โดยเฉพาะการเชื่อมโยงธุรกิจคลัสเตอร์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีทันสมัยและความคิดสร้างสรรค์ จะยิ่งเชื่อมสัมพันธ์ทางการค้าและเพิ่มมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการจัดงาน G-FAIR ASEAN+ 2023 ในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ความงาม ถึง 107 บูธ มาจัดแสดง จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือนำไปสู่การขยายโอกาสทางการค้าระหว่างผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต
ไทยส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ไปตลาดคู่ค้า FTA ในช่วง 5 เดือนแรก มูลค่ากว่า 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2566 (ม.ค.-พ.ค.) พบว่า สินค้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าประมงที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง รวมถึงการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่งออกไปตลาดคู่ค้า FTA มีมูลค่า 177.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ.71.2 ของการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมดของไทย ตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี อาทิ จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่การส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปกลุ่มประเทศที่ไทยไม่มี FTA ลดลงริอยละ 31.6 ทั้งนี้ ในปี 2565 ไทยส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเป็นอันดับ 9 ของโลก และอันดับ 3 ของอาเซียน
นางอรมน กล่าวว่า FTA ที่ไทยทำกับคู่ค้า 18 ประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันคู่ค้า FTA 16 ประเทศ ได้ยกเลิกการเก็บภาษีกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งนำเข้าจากไทยทุกรายการแล้ว เหลืออีกเพียง 2 ประเทศคือ เกาหลีใต้และอินเดีย นอกจากนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างเจรจา FTA กับหลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สมาคมการค้าเสรียุโรป แคนาดา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาความต้องการของตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้ประโยชน์จาก FTA เป็นเครื่องมือขยายการส่งออกต่อไป
7 กรกฎาคม 2566
ททท. ร่วมกับบริษัท อโกด้า ผลักดัน แคมเปญ "เที่ยวทั่วไทย ไปเมืองรอง"กระตุ้นการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ บริษัท อโกด้า เซอร์วิสเซส จำกัดแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว และบริษัท แทรกซ์เอเชีย จำกัด ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนผ่านแคมเปญ “เที่ยวทั่วไทย ไปเมืองรอง (Grand Discovery Thailand)” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก กระตุ้นการเดินทางเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆ ก่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ฐานรากอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยมุ่งให้ความสำคัญในการยกระดับห่วงโซ่อุปทานและการสร้างมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มมูลค่าและกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานพร้อมร่วมกันส่งเสริมกิจกรรมการตลาด โดยใช้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านท่องเที่ยวและเทคโนโลยีเพื่อสร้างการรับรู้นำไปสู่แรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
เปิดให้บริการขบวนรถท้องถิ่น ศิลาอาสน์ -สวรรคโลก- ศิลาอาสน์ 15 กรกฎาคมนี้
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟฯ พร้อมเปิดให้บริการขบวนรถท้องถิ่น เส้นทางศิลาอาสน์ -สวรรคโลก - ศิลาอาสน์ เพื่อให้ประชาชนในอำเภอสวรรคโลกและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเดินทางโดยรถไฟ ไปเชื่อมต่อกับขบวนรถทางไกลในเส้นทางสายเหนือที่สถานีชุมทางบ้านดาราและสถานีอุตรดิตถ์ ไปยังสถานีต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยจะเปิดให้บริการทุกวัน ไป-กลับ 2 เที่ยวต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ในการส่งเสริมใช้ระบบขนส่งสาธารณะและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ประชาชน ตลอดจนเป็นการลดใช้พลังงานเชื้อเพลิง สร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรถไฟฯคิดอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นเพียง 2 บาท
สังคม
3 กรกฎาคม 2566
ย้ายสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำริมคลองผดุงกรุงเกษม ปรับปรุงภูมิทัศน์ ตอบสนองข้อร้องเรียนจากประชาชน
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ติดตามการรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำริมคลองผดุงกรุงเกษมในพื้นที่เขตปทุมวัน โดยมีผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ผู้อำนวยการเขตปทุมวันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดระเบียบผู้ค้าในพื้นที่สาธารณะที่ผ่านมากรุงเทพมหานครใช้วิธีการเจรจาสร้างความเข้าใจกับผู้ค้า โดยการใช้พื้นที่สาธารณะทำการค้าขายนั้น จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในการเดินทางสัญจร ประชาชนจะต้องได้รับความสะดวกและมีความปลอดภัย รวมทั้งปัจจุบันกรุงเทพมหานครอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมคลองผดุงกรุงเกษม เพราะฉะนั้นผู้ค้าที่ทำการค้าอยู่บริเวณดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกจากพื้นที่ กรุงเทพมหานครจึงต้องมีการเจรจากับผู้ค้า พร้อมทั้งจัดหาสถานที่เพื่อให้ผู้ค้าได้ไปทำการค้าในสถานที่ที่เหมาะสม
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดำเนินการจัดระเบียบผู้ค้าไปแล้ว จากเดิมมีจุดทำการค้า 791 จุด คงเหลือ 692 จุด โดยได้มีการเจรจาขอให้ยกเลิก รวมถึงจัดหาสถานที่ใหม่ให้ผู้ค้าได้เข้าไปทำการค้าในพื้นที่เอกชนและพื้นที่ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดหาไว้ให้ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสำนักการโยธาได้เข้ามาปรับปรุงภูมิทัศน์ แต่ยังมีผู้ค้าในพื้นที่บางจุดมาเจราจรต่อรอง ซึ่งทางเขตฯ ก็รับฟัง และผ่อนผันระยะเวลามา 6-7 เดือน อีกทั้งทางเขตฯ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในการใช้พื้นที่ทางเท้า การตั้งวางสิ่งของกีดขวางทางเท้าและความสกปรก โดยทางเขตฯ ได้ประชาสัมพันธ์ไปล่วงหน้าเพื่อให้ผู้ค้ารับทราบถึงการเข้าปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งผู้ค้าในบริเวณดังกล่าวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
สสส.เชิญชวนร่วมงานเวที “สานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่สุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืน ปี 66” เดินหน้าขับเคลื่อนสู่การเป็นสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน
นายประกาศิต กายะสิทธิ รองผู้จัดการกองทุน สสส. รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน กล่าวว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับภาคีเครือข่ายผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จัดเวที “สานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่สุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืน ปี 2566” วาระ:พลังชุมชนท้องถิ่นตอบโจทย์ประเทศ เพื่อรวมพลังเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และส่งต่อแรงบันดาลใจร่วมกัน ระหว่างวันที่ 7 - 9 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ถือเป็นสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมนำสรุปบทเรียนจากการสร้างสุขภาวะชุมชนมาถ่ายทอดและแบ่งปัน เพื่อจะเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่การเป็นสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน พร้อมอาศัยทุนทางสังคมและศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นที่มีอยู่เสริมเป็นแรงหนุนสู่การบูรณาการงานสร้างเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะการสร้างสุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืนสู่การสร้างเสริมสุขภาพตามเป้าเชิงยุทธศาสตร์กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในระยะ 10 ปี พ.ศ.2565 – 2574 และเป้าสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบันมีเครือข่ายฯกว่า 3,000 แห่ง
สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการรวมตัวของเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ทั่วประเทศ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-ท้องที่ (กำนัน-ผู้ใหญ่) องค์กรชุมชน (กลุ่มทางสังคม) หน่วยงานรัฐในพื้นที่ สถาบันวิชาการหรือองค์กรทางวิชาการ องค์กรภาคเอกชน รวมถึงคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิและภาคียุทธศาสตร์กว่า 2,500 คนทั่วประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนร่วมกันและเดินหน้ายุทธศาสตร์ 7+1 ขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะต่อไป
4 กรกฎาคม 2566
รับสมัครคนหางานไปทำงานมาเก๊า เงินเดือนสูงสุด 86,600 บาท ฟรีค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า จำนวน 8 ตำแหน่ง รวม 41 อัตรา ได้แก่ พนักงานฝ่ายบริการลูกค้า จำนวน 5 อัตรา พนักงานต้อนรับลูกค้าวีไอพี จำนวน 5 อัตรา กัปตัน จำนวน 5 อัตรา พนักงานฝ่ายต้อนรับวีไอพี จำนวน 5 อัตรา พนักงานนวดสปา จำนวน 6 อัตรา พนักงานนวด-ฝ่าเท้า จำนวน 5 อัตรา พนักงานเสิร์ฟ จำนวน 5 อัตรา และบาร์เทนเดอร์/บาร์แอทเทนแดน จำนวน 5 อัตรา เพื่อไปทำงานกับนายจ้าง บริษัท Galaxy Entertainment Group ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม คาสิโน และร้านอาหาร เงินเดือนอยู่ระหว่าง 49,795 - 86,600 บาท โดยนายจ้างจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป - กลับ เมื่อทำงานสิ้นสุดสัญญาจ้าง ช่วยจ่ายค่าที่พักเดือนละ 500 เหรียญมาเก๊า คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,200 บาท พร้อมจัดอาหารในช่วงเวลาทำงาน ทำประกันสุขภาพ และสวัสดิการอื่นๆ ตามกฎหมายแรงงานมาเก๊า
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบได้ที่ เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas หัวข้อ “ข่าวประกาศรับสมัคร" โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร และยื่นใบสมัครทางอีเมล ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ไม่เว้นวันหยุดราชการ หรือติดต่อสอบถามโดยตรงที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด โทรศัพท์ 0 2245 1034 ในวันและเวลาราชการ หรือสายด่วน โทร. 1506 กด 2
สำหรับตำแหน่งงานและคุณสมบัติ ที่นายจ้างบริษัท Galaxy Entertainment Group ที่มาเก๊าต้องการ จะต้องเชี่ยวชาญการสื่อสารภาษาไทยและจีนกลาง สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ มีใจรักการบริการ สามารถทำงานเป็นกะได้และมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งที่สมัคร พร้อมย้ำว่าการรับสมัครในครั้งนี้เป็นการดำเนินการโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็น อาทิ ค่าถ่ายรูป ค่าทำหนังสือเดินทาง ค่าตรวจสุขภาพ เป็นต้น รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 5,500 บาท
กรมการจัดหางาน เตือนภัยเพจปลอมสร้าง Facebook ใช้ชื่อ "กรมจัดหางาน" ประกาศรับสมัครงาน
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการทำเพจ Facebook ปลอม ใช้โลโก้กรมการจัดหางานเป็นรูปโปรไฟล์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและใช้ชื่อเพจว่า “กรมจัดหางาน” ซึ่งหากอ่านผ่านๆ จะคล้ายกับเพจของหน่วยงานที่ใช้ชื่อว่า “กรมการจัดหางาน” โดยเพจปลอมอ้างว่ามีการรับสมัครงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อประชาชนที่กำลังหางานหลงเชื่อกดสมัครงาน จะได้รับข้อความติดต่อ โดยแอดมินจะขอชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และหลอกล่อให้ทำธุรกรรมทางการเงิน
ขอแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาด เนื่องจากกรมการจัดหางานไม่มีนโยบาย ขอประวัติส่วนตัวผู้สมัครงานผ่านแอปพลิเคชัน หรือ Facebook หรือ Line รวมถึง Twitter หากพบพฤติการณ์ดังกล่าวสันนิฐานว่าเป็นมิจฉาชีพ โดยให้ติดต่อสอบถามโดยตรงกับกรมการจัดหางานเท่านั้น หรือสอบถามผ่านสายด่วน โทร.1506 กด 2 ทั้งนี้ กรมการจัดหางานจะแจ้งความร้องทุกข์และดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ฐานนำเข้าข้อมูลเท็จ และใช้เครื่องหมายราชการ โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงปลอม หรือเลียนเครื่องหมายราชการด้วย ส่วนประชาชนที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการผ่านเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือทาง Mobile Application "ไทยมีงานทำ"
หากประชาชนประสบปัญหาจากเพจปลอมดังกล่าว สามารถแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจตามท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือแจ้งเรื่องที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 โทร. 02 254 6763 หรือ โทร. 02 245 6439 หรือสายด่วนกรมการจัดงาน โทร. 1506 กด 2
นายกรัฐมนตรีย้ำคณะเยาวชน นำประสบการณ์ไปเผยแพร่สู่สายตาประชาคมโลก สร้างประโยชน์ให้กับแผ่นดินแม่ในอนาคต
นายต่อ ศรลัมพ์ กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส พร้อมนายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ นำคณะเยาวชนจากโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ 2566 และผู้ปกครอง เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับฟังโอวาท
โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประโยชน์และพัฒนาประเทศไทย พร้อมแนะนำการเรียนรู้ภาษาไทย จะช่วยสร้างโอกาสทางอาชีพการงานที่ดีและเป็นสิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิต รวมทั้งยังขอให้เยาวชนเรียนรู้และเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ตลอดจนเก็บเกี่ยวความรู้ ช่วยกันแบ่งปันประสบการณ์ในประเทศไทย ความเป็นไทยกับเพื่อนๆ และขอให้เยาวชนทุกคนภูมิใจในความเป็นไทย ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติและช่วยกันเป็นทูตวัฒนธรรมเผยแพร่ความเป็นไทยไปสู่สายตาประชาคมโลก สร้างประโยชน์ให้กับแผ่นดินแม่ในโอกาสที่เอื้ออำนวยในอนาคต
ตัวแทนเยาวชนในโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ได้เดินทางมาประเทศไทย และได้มาเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยการมาเยือนไทยทำให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นไทย พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้โอวาทในวันนี้ ในตอนท้าย คณะเยาวชนยังได้ถ่ายภาพร่วมกับนายกรัฐมนตรี
5 กรกฎาคม 2566
ปัญหาทางการเมือง ภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งในครอบครัว กดดันให้ประชาชนเพิ่มอัตราความเครียดสูงขึ้น
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตติดตามสถานการณ์ความเครียดของประชาชนอันเนื่องมาจากทางการเมือง พบว่าขยับตัวสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ อีกไม่นานจะเข้าสู่ความลงตัว ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ประชาชนมีความสนใจต่อบ้านเมือง จะนำไปสู่การค้นคว้าหาข้อมูลเสริมหลักการจนนำไปสู่การหาคำตอบที่สร้างสรรค์ ประชาชนก็จะมีทักษะความเข้าใจรอบรู้ทางการเมืองที่ดียิ่งขึ้นจนนำไปสู่การลดความขัดแย้ง แต่หากประชาชนยังคงหมกมุ่น ไม่เปิดใจรับความคิดเห็นจากผู้อื่น หรือนำความปรารถนาของตนเองเป็นที่ตั้ง จะกลายเป็นความโกรธ ขุ่นเคืองนำไปสู่ความขัดแย้ง กรมสุขภาพจิตมีคำแนะนำประเด็นดังกล่าวประชาชนต้องมีสติในการควบคุมอารมณ์ ไปจนถึงการหยุดรับข่าวสารโดยตรงก่อน เพื่อพักใจออกจากเรื่องวุ่นวายและควรหันหน้าปรึกษาคนรอบข้างที่เป็นผู้ฟังที่ดีไว้วางใจได้ จะมีส่วนนำไปสู่ความสงบลงได้
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากความเครียดทางการเมืองแล้ว ปัจจุบันยังพบแนวโน้มความเครียดจากกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกกดดันเรื่องการเรียนและปัญหาความความรัก ขณะที่กลุ่มวัยทำงาน ประสบความเครียดด้านเศรษฐกิจ รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ ประสบปัญหาการว่างงาน ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาที่มาแรงอันดับต้นๆ ในกลุ่มวัยทำงาน รวมถึงปัญหาอารมณ์ความขัดแย้งในครอบครัวที่พบบ่อยมากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ที่กำลังประสบปัญหาความเครียดในทุกด้านสามารถโทรมาปรึกษากับนักจิตวิทยา ผ่านสายด่วน 1323 กรมสุขภาพจิตพร้อมให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษา ควบคู่กับการประเมินสุขภาพจิตจนนำไปสู่การรักษาที่ถูกวิธี
ประกันสังคมเตือนผู้ประกันตนมาตรา 39 นำเงินเข้าบัญชี 432 บาท ก่อนวันที่ 15 ของทุกเดือน ป้องกันการสิ้นสภาพ
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม อำนวยความสะดวกในการชำระเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 39 ซึ่งมีกำหนดชำระเงินสมทบภายในวันที่ 15 ของทุกเดือนอยู่หลากหลายช่องทาง เช่น จ่ายเงินสมทบที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา หรือหักบัญชีเงินฝากธนาคาร หรือชำระผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารหรือหน่วยบริการ ไปรษณีย์ทุกสาขาทั่วประเทศ เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-Eleven) เคาน์เตอร์ CenPay Powered By บุญเติม เคาน์เตอร์เทสโกโลตัส และจ่ายเป็นธนาณัติ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ เป็นต้น
ล่าสุด ตัวเลขผู้ประกันตนมาตรา 39 เลือกวิธีการชำระเงินสมทบผ่านทุกช่องทางสะดวกที่สำนักงานประกันสังคมจัดไว้คอยให้บริการมีจำนวน 1,722,772 คน โดยผู้ประกันตนเลือกวิธีการจ่ายเงินสมทบมากที่สุด อันดับที่ 1 คือ หักบัญชีเงินฝากธนาคาร จำนวน 869,454 คน รองลงมา อันดับที่ 2 ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและหน่วยบริการ จำนวน 800,555 คน อันดับที่ 3 จ่ายเงินสมทบ ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา จำนวน 52,763 คน
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำถึงการส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน ม.39 ว่าเนื่องจากธนาคารจะตัดบัญชีวันที่ 15 ของทุกเดือน ขอให้ผู้ประกันตนนำเงินเข้าบัญชีให้เพียงพอ จำนวน 432 บาท และนำฝากก่อนวันที่ธนาคารจะตัดเงินในบัญชี และหากเดือนใด วันที่ 15 ตรงกับวันหยุดธนาคารจะเลื่อนหักบัญชีในวันทำการถัดไป โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันผู้ประกันตน มาตรา 39 สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน
สำนักงานประกันสังคม ขอความร่วมมือผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่เป็นปัจจุบัน เพื่อรับข้อความ SMS แจ้งการหักบัญชีเงินฝากธนาคารสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ได้ที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือโทร.1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
กรมอนามัยแนะน้ำตาลมีประโยชน์ หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าองค์การอนามัยโลก เตรียมประกาศว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาล Aspartame เป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็ง ซึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการดื่มเครื่องดื่มแบบไม่มีน้ำตาล หรือน้ำตาล 0% เพื่อต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้ได้รับพลังงานจากน้ำตาลเพิ่มแต่ยังได้รสชาติหวานอยู่
กรมอนามัย ชี้ให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับน้ำตาลให้ถูกต้องว่า น้ำตาลจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน น้ำตาลธรรมชาติ ที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบขึ้นกับวัตถุดิบและกรรมวิธีที่ผลิต ทั้งน้ำตาลทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลโตนด น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ และน้ำเชื่อม เป็นต้น ส่วนน้ำตาลเทียม เป็นสารที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแต่งเติมรสชาติหวานให้กับอาหารและเครื่องดื่มแทนน้ำตาลธรรมชาติ มีทั้งแบบที่ให้พลังงานและไม่ให้พลังงาน นิยมใช้ในผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลและพลังงาน เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก โดยสารให้ความหวานที่นิยมใช้กัน ได้แก่ Aspartame ,Saccharin ,Acesulfame potassium ซู Sucralose ,Neotame ซึ่งทั้งน้ำตาลธรรมชาติและน้ำตาลเทียม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม หากมากเกินไปล้วนจะส่งผลกระทบกับร่างกายได้ การกินน้ำตาลธรรมชาติมากเกินไป จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะน้ำหนักเกิน เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น หรือหากบริโภคน้ำตาลเทียมเป็นประจำ ลิ้นจะคุ้นกับรสหวานเกินไป อาจทำให้ติดรสหวานและไม่สามารถควบคุมอาหารการกินได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่เป็นไมเกรน ผู้ป่วยโรคลมชัก โดยเฉพาะเด็กต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า แม้สารให้ความหวานจะมีแคลอรีต่ำ แต่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะกระตุ้นให้เกิดการผลิตเซลล์ไขมันมากขึ้น หากร่างกายต้องการความหวาน ควรกินน้ำตาลแต่พอดีคือ เด็กไม่ควรกินน้ำตาลเกิน วันละ 4 ช้อนชา
สำหรับผู้ใหญ่ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน วันละ 6 ช้อนชา และควรจำกัดการกินสารให้ความหวานแทนน้ำตาล แต่เลือกกินน้ำตาลจากธรรมชาติหรือน้ำตาลจากผลไม้สด เพราะมีประโยชน์และให้คุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย อุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และไฟโตนิวเทรียนท์ แต่ควรเลือกผลไม้หวานน้อย เช่น กล้วย แอปเปิล ส้ม ฝรั่ง สาลี่ แตงโม สตรอว์เบอร์รี และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี
6 กรกฎาคม 2566
เปิดรับเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับรางวัลการทูตสาธารณะ ประจำปี 2566 ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับรางวัลการทูตสาธารณะ ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นรางวัลที่กระทรวงการต่างประเทศและมูลนิธิไทย ตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กร ที่ดำเนินงานด้านสาธารณประโยชน์ มนุษยธรรม กีฬา หรือนวัตกรรม จนสามารถสร้างชื่อเสียงแก่คนไทยและประเทศไทย ทำให้เกิดแฟนคลับต่อคนไทยและประเทศไทย
โดยในปีนี้ จะสามารถเสนอชื่อบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่างประเทศเพื่อรับรางวัลนี้ได้ แต่ผู้ถูกเสนอชื่อจะต้องให้ความยินยอมทั้งในด้านการเข้ารับพิจารณาตัดสินและการรับรางวัลด้วย ซึ่งคณะกรรมการที่พิจารณาการให้รางวัลการทูตสาธารณะ ประกอบด้วย ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนมูลนิธิไทย ผู้แทนภาควิชาการและภาคประชาสังคม รวมทั้งสื่อมวลชน จำนวน 9 คน สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลการทูตสาธารณะ จะได้รับการประกาศเกียรติคุณ ได้รับถ้วยรางวัลที่จารึกชื่อผู้รับรางวัล ประกาศนียบัตร และเงินรางวัล 3 แสนบาท รวมถึงมีการจัดทำแผ่นป้ายเกียรติยศจัดแสดงไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ สามารถเสนอชื่อผู้เข้ารับรางวัลการทูตสาธารณะ ได้จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ โดยคณะกรรมการฯ จะมีการพิจารณาคัดเลือกและประกาศผลผู้ตัดสินผู้ได้รับรางวัลภายในเดือนกันยายน 2566 นี้ ส่วนพิธีมอบรางวัลจะประกาศให้ทราบในโอกาสต่อไป
มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ ครั้งที่ 4 กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญรองรับสังคมสูงวัย
สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ จะจัดงานมหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ ครั้งที่ 4 ภายใต้ชื่อ การประชุมวิชาการเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ The 4th Thailand Elderly Health Service Forum 2023 อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยธีมงานในปีนี้คือ Aging in Place: The Meanings of Aging in Place เพื่อร่วมกระตุ้นให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน ท้องถิ่น ตลอดจนภาคประชาสังคม ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมทุกด้านเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ในบริบทของสังคมไทย
ภายในงานมีกิจกรรมออกบูธนิทรรศการวิชาการและการให้บริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจากโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ เช่น การคัดกรองความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม ตรวจสุขภาพตาในผู้สูงอายุ บริการทำสปาเปลือกตา การอัลตร้าซาวด์หลอดใหญ่ที่คอ บริการคัดกรองโรคผิวหนัง การตรวจสุขภาพสำหรับวัยทำงานก่อนเกษียณ บริการตรวจสุขภาพเท้า ตลอดจน บูธนิทรรศการจากองค์การเภสัชกรรม บูธกิจกรรมจาก สสส. บูธให้คำปรึกษาทางด้านการเงินและการออม ตลอดจนบูธนิทรรศการด้านสุขภาพผู้สูงอายุกระทรวงสาธารณสุข อาทิ กรมสุขภาพจิต กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่สำคัญคือ การเสวนาเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุระดับประเทศ ทั้งด้านสุขภาพ นโยบาย สังคม ท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม กฎหมาย การเงิน และการใช้ชีวิตในวัยสูงอายุได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรมอนามัย ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการเป็นประธานการประชุมวิชาการทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2566 “บริบทใหม่กับการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากคนไทย” ว่า การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก รวมถึงเป็นเวทีเพื่อนำเสนอผลงานวิชาการเชิงรูปแบบและนวัตกรรมด้านทันตสาธารณสุขในทุกช่วงวัย
จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกในปี 2561 พบประชาชนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มากถึงร้อยละ 71 สำหรับประเทศไทยพบการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มากถึงร้อยละ 74 และยังพบปัญหาเด็กเกิดน้อยลง โดยปี 2565 ไทยมีเด็กเกิดใหม่ 502,107 คน ซึ่งเป็นจำนวนเพียงครึ่งหนึ่งของการเกิดเมื่อ 50 ปีก่อน สำหรับปัญหาสุขภาพช่องปากยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยพบเด็กไทยอายุ 3 ปี ร้อยละ 52.9 และเด็กอายุ 5 ปี ร้อยละ 75.6 มีประสบการณ์ฟันน้ำนมผุ ส่วนเด็กวัยเรียนและเยาวชนอายุ 12 ปี ร้อยละ 52 มีประสบการณ์การเกิดโรคฟันแท้ผุ ส่วนกลุ่มวัยทำงานอายุ 35 - 44 ปี มีปัญหาสภาวะปริทันต์ที่พบการอักเสบของเหงือก มีเลือดออกง่าย ร้อยละ 51.0 และปัญหาโรคฟันผุที่ยังไม่ได้รับการรักษาร้อยละ 43.3 ผู้สูงอายุ พบว่า มีฟันถาวรใช้งานได้อย่างน้อย 20 ซี่ เพียงร้อยละ 56.1 ที่ผ่านมากรมอนามัยได้ดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะด้านทันตสาธารณสุข ได้ปรับรูปแบบการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขยุคใหม่ ที่เพิ่มการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการดำเนินงานส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน รวมทั้งปรับบริการส่งเสริมสุขภาพที่จำเพาะกับบุคคล ด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิตใช้ Digital technology ในการสร้าง Health Literacy โดยพัฒนา Digital Health Book และสร้างนิเวศใหม่ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ซึ่งทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทันตบุคลากรและบุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรตระหนัก รับรู้ และปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ตลอดจนประยุกต์ใช้กระแสการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเหมาะสม ซึ่งผลงานวิจัยในงานประชุมครั้งนี้ จะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
7 กรกฎาคม 2566
ประชาชนระวังโรคผิวหนังที่มากับหน้าฝน หากมีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง ขอให้เข้ารับการวินิจฉัยรักษาที่ถูกต้อง
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในฤดูฝนเป็นช่วงที่มีน้ำท่วมขัง สภาพอากาศชื้นและเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรคผิวหนังต่างๆ ตามมาด้วย โดยโรคผิวหนังที่จะพบได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อราหรือเเบคทีเรีย ที่จะเจริญเติบโตเเละก่อโรคได้ดีในสภาพอากาศเเละสิ่งเเวดล้อมในฤดูฝน ประชาชนที่เดินทางออกนอกบ้าน บางครั้งอาจเปียกฝนหรือเดินลุยน้ำขัง จะพบปัญหาโรคผิวหนังที่ตามมาได้ จึงควรหมั่นสังเกตตนเองอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง แนะนำให้มาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยเเละดูเเลรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ด้านแพทย์หญิงชนิศา เกียรติสุระยานนท์ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคผิวหนังที่พบบ่อยได้บ่อยในฤดูฝน ได้แก่ โรคเกลื้อน มีลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายวง มีขุยละเอียด สีแตกต่างกัน พบมากในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก และใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น โรคกลาก มีลักษณะเป็นผื่นวงมีขอบเขตชัดเจน มีขุย เริ่มต้นด้วยอาการคัน ตามด้วยผื่นแดงต่อมาจะลามเป็นวงออกไปเรื่อยๆ และมักจะคันมากขึ้น ส่วนใหญ่พบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น หนังศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ฝ่าเท้า และซอกนิ้วเท้า โรคเท้าเหม็นเกิดจากการมีเชื้อแบคทีเรียบางชนิดบริเวณผิวหนังชั้นนอก มีอาการเท้าแห้งลอก เท้าจะมีกลิ่นรุนแรงมากกว่าปกติ มีหลุม รูพรุนเล็กๆ บริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า โรคน้ำกัดเท้า มีอาการระคายเคืองผิวหนังจากความอับชื้น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สังเกตจากมีผื่นแดง แห้งลอก คันมากที่บริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า ซอกคอ เป็นต้น
ย้ำเตือนนายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันไปดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายเวลาให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งเข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ที่วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้สามารถอยู่ทำงานเป็นการชั่วคราวได้จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ แต่นายจ้างที่ประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวให้ไปดำเนินการยื่นคำขออนุญาตนำเข้าแรงงานให้แล้วเสร็จก่อน 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อให้สามารถไปดำเนินการในขั้นตอนอื่นๆ ตามกฎหมาย โดยแรงงานต่างด้าวที่หนังสือเดินทาง หรือการตรวจลงตราวีซ่าสิ้นสุดลง ก็สามารถเดินทางกลับประเทศได้โดยไม่มีความผิด เพื่อไปดำเนินการกลับเข้ามาใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขอย้ำเตือนนายจ้างเร่งไปดำเนินการตามขั้นตอนนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานตามระบบ MOU เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดคือภายใน 31 กรกฎาคมนี้
อธิบดีกรมการจัดหางาน ย้ำเตือนไปยังคนต่างด้าว 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ไม่สามารถจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง และการตรวจลงตราวีซ่า เพื่อแนบคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้ทันภายในวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มนี้ให้เร่งไปดำเนินการจัดทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่และตรวจประทับตราวีซ่าให้แล้วเสร็จภายใน 31 กรกฎาคมนี้เช่นกัน เพื่อนำมาประกอบยื่นขอใบอนุญาตทำงาน เพื่อให้สามารถอยู่อาศัยทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายไปอีก 1-2 ปีตามแต่กรณี ทั้งนี้ หากนายจ้างและคนต่างด้าวติดขัดปัญหาขอคำปรึกษาได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรสายด่วน 1506 กด 2 หรือโทร 1694
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว