ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2566

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2566
การเมือง/มั่นคง
กกต. นับคะแนนจำนวน 400 เขตเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ยกเว้นหน่วยเลือกตั้งที่ 10 เขตเลือกตั้งที่ 1 นครปฐม
ตามที่ สำนักงาน กกต. ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (สวข.) รายงานผลคะแนนเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างไม่เป็นทางการ หรือ ECT Report ที่แสดงผ่านหน้าจอแสดงผล หรือ Dashboard ให้สื่อมวลชนได้รับทราบ และ www.ectreport.com ล่าสุดการรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป อย่างไม่เป็นทางการ ผ่านทางเว็บไซต์ www.ectreport.com ได้ดำเนินการครบตามที่กำหนดแล้ว และการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 จำนวน 400 เขตเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ยกเว้นเขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 10 จังหวัดนครปฐม ที่งดลงคะแนนเนื่องจากพายุกระหน่ำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลจากรายงานผลการนับคะแนน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนำส่ง แล้วจะได้ปรับปรุงหน้าจอแสดงผลเพื่อนำเสนอผลคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 อย่างเป็นทางการต่อไป
8 พรรคการเมือง ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้ชื่อ “จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน”
พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้ชื่อ “จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน” ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ มี 8 พรรคการเมืองเข้าร่วม ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง โดยนายพิธา ได้แถลงถึงจุดยืนการร่วมจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน และขอบคุณทุกเสียงของประชาชนที่มอบให้ โดยยืนยันว่า รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ซึ่งทุกพรรคมีจุดยืนร่วมกันในการตั้งรัฐบาล 3 ข้อคือ เห็นชอบสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ทุกพรรคจะทำข้อตกลงร่วมกัน หรือ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวร่วมในการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรคก่อนจะแถลงต่อประชาชน ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคม และข้อสุดท้ายทุกพรรคจะจัดตั้งรัฐบาล โดยมีคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ โดยความเคารพเสียงข้างมากของประชาชน พร้อมยืนยันไม่กังวลและมั่นใจจะได้รับการลงมติเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน
ด้านพรรคการเมืองที่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน เช่น นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ต่างยืนยันสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และพร้อมเดินหน้าทำตามความต้องการของประชาธิปไตย พร้อมยืนยันทุกพรรคปกป้องสถานบันและไม่อยากให้นำเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเป็นประเด็นปัญหา เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันในรายละเอียด เพราะสิ่งสำคัญต้องเคารพเสียงของประชาชน
วิษณุเชื่อ พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้ รวมเสียงได้มากถึง 313 เสียง เกิน 250 เสียงถือว่ามั่นคงแล้ว
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เชื่อว่า การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคก้าวไกล จะเดินหน้าขั้นตอนของรัฐสภา เพราะขณะนี้ สามารถรวมเสียงได้มากถึง 313 เสียง เกิน 250 เสียง ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว ส่วนที่จำเป็นจะต้องอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา อีกกว่า 60 เสียง นายวิษณุ กล่าวว่า อาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้ค่อยๆ พูดจากัน ยังมีเวลาอีก 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องใช้เวลาอีก 30 วัน รวม 3 เดือน ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ เพราะนอกจากการเลือกนายกรัฐมนตรี ยังมีการผ่านกฎหมายด้วย
ส่วนที่มีการประเมินว่าในรัฐสภา จะไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมาย หากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนใดคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ผ่านจะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ ระบุว่า ได้ ชื่อเดิมก็ได้ หรือพรรคอันดับ 2 จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำได้ โดยต้องอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งในรอบแรก เพราะมาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ต้องมีความเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาที่มีอยู่คือ 376 เสียง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็โหวตอีก จนกระทั่งในที่สุดจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 272 วรรคสอง หรือจะโหวตซ้ำมาตรา 272 วรรคหนึ่งได้ เพราะอาจจะมีเหตุผลใหม่ๆ และมีคนเปลี่ยนใจเพิ่มขึ้น
ไทยและเนปาล พร้อมผลักดันความร่วมมือทุกมิติ ส่งเสริมการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายคเณศ ประสาท ธกาล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือประเด็นต่างๆ ทั้งการแลกเปลี่ยนทางศาสนา วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ยินดีส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการท่องเที่ยวระหว่างกันโดยเฉพาะเส้นทางการท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งเอกอัครราชทูตเนปาลฯ กล่าวว่า มีนักท่องเที่ยวไทยให้ความสนใจเดินทางมายังเนปาลมากขึ้น จากเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อแสวงบุญที่เนปาล โดยรัฐบาลเนปาลพร้อมให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี
ด้านเศรษฐกิจ พร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับรัฐบาลเนปาล ขยายโอกาสทางการค้าเพื่อการพัฒนาในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมไปถึงการเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC เชื่อมั่นว่า จะสามารถผลักดันความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับพหุภาคี และด้านวิชาการ ไทยยินดีสนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในสาขาที่จะเป็นประโยชน์ต่อเนปาล โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรผ่านการมอบทุนอบรมในระดับต่างๆ รวมถึงในสาขาที่จำเป็นในสภาวะปัจจุบัน เช่น สาธารณสุข การพัฒนาสตรีและเด็ก รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาตามหลัก BCG Economy ซึ่งเอกอัครราชทูตเนปาลฯ ยินดีจะส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน พร้อมชื่นชมหลัก BCG Economy ที่นายกรัฐมนตรีผลักดันให้เป็นวาระสำคัญเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
กรมการค้าภายใน รักษาระดับราคา นำผู้ประกอบการซื้อมะม่วงจากกลุ่มเกษตรกร จังหวัดเชียงใหม่กว่า 39,000 ตัน
นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมอมก๋อยโมเดล@เชียงใหม่ สินค้ามะม่วง ณ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ รวมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ รวม 10 ราย และสถานีบริการน้ำมัน PT และบางจาก เข้ารับซื้อผลผลิตมะม่วงจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงท่าล้อ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ รวมกว่า 39,800 ตัน ในราคานำตลาด เพื่อนำไปกระจายตามช่องทางต่างๆ ให้เข้าถึงผู้บริโภค โดยหวังว่าจะช่วยรักษาระดับราคามะม่วงให้อยู่ในเกณฑ์ดี ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันปริมาณมาก ซึ่งพื้นที่ อำเภอดอยหล่อ มีพื้นที่ปลูกมะม่วงกว่า 3,126 ไร่ หลายสายพันธุ์ อาทิ แดงจักรพรรดิ์ งาช้างแดง และ R2E2 มั่นใจว่าจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น รวมมูลค่าการรับซื้อครั้งนี้กว่า 460 ล้านบาท
อธิบดีกรมการค้าภายใน ย้ำว่าขอให้เกษตรกรรักษาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดและจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น ลดปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกปี 2566 ของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้โครงการอมก๋อยโมเดล โดยกรมฯ จะเข้าไปดูดซับผลผลิตและเชื่อมโยงตลาดกับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาระดับราคาให้อยู่ในเกณฑ์ดีตลอดฤดูกาล
ไทยและจีน พร้อมผลักดันการเชื่อมโยงนครเซี่ยงไฮ้ กับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ นำคณะผู้บริหารระดับสูงของนครเซี่ยงไฮ้ เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมงาน “ลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคต” ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดำเนินการร่วมกับนครเซี่ยงไฮ้และภาคเอกชนจัดขึ้น เพื่อขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงต่อยอดจากการเดินทางไปโรดโชว์ ส่งเสริมการลงทุนที่ประเทศจีนของ BOI เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนชาวจีน โดยมีทำเลที่ตั้งซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับภูมิภาค รวมถึงมีระบบขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอนาคตสามารถเชื่อมโยงกับเขตพิเศษหลินกังของนครเซี่ยงไฮ้ได้อีกด้วย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่การค้าและการลงุทนระหว่างไทยและจีนยังคงเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและดิจิทัล สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ทั้งนี้ รัฐบาล และ BOI ซึ่งมีสำนักงานในจีน 3 แห่ง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และกว่างโจว พร้อมขยายโอกาสเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม
เตือนผู้บริโภคระวังหมูเถื่อน แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตมาตรฐาน สังเกตตราสัญลักษณ์ ปศุสัตว์ OK
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า หมูเถื่อน เป็นเนื้อสุกรลักลอบนำเข้า ที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัย ผู้บริโภคจึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการนำโรคระบาดเข้ามาในประเทศไทย โดยโรคระบาดที่สำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยและเสี่ยงต่อความปลอดภัยในอาหารของผู้บริโภค
สำหรับผู้บริโภค แนะนำให้เลือกซื้อเนื้อสุกร จากสถานที่ หรือแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมั่นใจได้ว่าไม่มีการนำเนื้อหมูเถื่อนมาจำหน่าย ในส่วนของกรมปศุสัตว์ มีโครงการที่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคคือ โครงการปศุสัตว์ OK ที่ กรมปศุสัตว์ ให้การรับรองว่าเนื้อสุกรหรือเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายมีความปลอดภัยได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ว่ามาจากฟาร์มเลี้ยงที่ได้มาตรฐานและมาจากโรงชำแหละที่ถูกสุขอนามัย โดยให้สังเกตตราสัญลักษณ์ ปศุสัตว์ OK ที่ช่วย้ำความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าได้บริโภคเนื้อหมูของไทยที่ผลิตได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยในอาหารอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง โดยอยู่ในระหว่างสอบสวนสืบสวนติดตามว่ามีการลักลอบนำ หมูเถื่อน ส่งขายตามร้านค้า แหล่งจำหน่าย หรือสถานที่ตัดแต่งใด โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตามไปจนถึงสถานที่ดังกล่าว หากตรวจสอบพบว่า เนื้อสุกรเหล่านั้นไม่มีแหล่งที่มา หรือมาจากการลักลอบนำเข้า จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นจึงขอเตือนผู้ที่ลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน หรือผู้ที่สนับสนุนโดยการซื้อและนำมาจำหน่ายให้ผู้บริโภค ขอให้หยุดการกระทำในทันที
ด้านธุรกิจบริการอาหาร ขอให้ตรวจสอบว่าเนื้อสุกรเหล่านั้น มาจากแหล่งผลิตในประเทศหรือเป็นเนื้อสุกรที่มาจากการลักลอบนำเข้า หากมีเบาะแสว่าเนื้อสุกรที่ซื้อมาใช้สำหรับนำไปตัดแต่ง หรือนำไปแปรรูปเพื่อให้ประชาชนบริโภค อาจไม่ใช่เนื้อสุกรในประเทศ ขอให้แจ้งผ่านช่องทางของกรมปศุสัตว์
สังคม
ปั้นแรงงานสู่ผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด ตั้งเป้า 30,000 คนทั่วประเทศ สร้างงาน เพิ่มรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ
นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดตัวโครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด พร้อมซักซ้อมความเข้าใจแก่บุคลากร 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคร่วม 400 คน เพื่อนำเสนอแผนการฝึกอบรมในภาพรวมของประเทศและชี้แจงแนวทางการดำเนินงาน รวมถึงระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับบริบทแต่ละจังหวัด ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลสนับสนุนงบกลาง เพื่อส่งเสริมด้านอาชีพให้แก่แรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะภาคธุรกิจร้านสตรีทฟู้ด ซึ่งมีผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ดมากกว่า 560,000 ราย และมีมูลค่ากว่า 3.4 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 5 ต่อปี สตรีทฟู้ดยังเป็น Soft Power ของไทย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ รัฐบาลจึงได้เร่งผลักดันให้สตรีทฟู้ดของไทยเกิดการขยายตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยกำหนดเป้าหมายสร้างสตรีทฟู้ด 30,000 คนทั่วประเทศ โดยจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้สนใจประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดรวม 600 รุ่น แบ่งเป็นสตรีทฟู้ดรายใหม่ 300 รุ่น เป้าหมายจำนวน 15,000 คน เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าสู่เส้นทางอาชีพร้านสตรีทฟู้ด และอีก 300 รุ่น เป้าหมายผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดรายเดิมจำนวน 15,000 คน เพื่อทำให้ดีขึ้น เก่งขึ้น ไปได้ไกลขึ้นและยังเสริมภูมิคุ้มกันหากเกิดวิกฤตขึ้นในอนาคต
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจร้านสตรีทฟู้ดของไทยเกิดการขยายตัวและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สำคัญจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนที่ผันตัวมาสู่เส้นทางอาชีพเป็นผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดรายใหม่ สามารถสร้างงานให้แก่แรงงานได้มีทักษะฝีมือ มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ
สำหรับกิจกรรมแสดงร้านค้าสตรีทฟู้ด กำหนดไว้จำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานครจัดขึ้นวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2566 ณ เซ็นทรัลพลาซ่ารามอินทรา ครั้งที่ 2 ภูเก็ต จัดขึ้นวันที่ 2-8 มิถุนายน 2566 ณ เซ็นทรัลพลาซ่าภูเก็ต ครั้งที่ 3 เชียงใหม่ จัดขึ้นวันที่ 13-19 มิถุนายน 2566 ณ เซ็นทรัลพลาซ่าเชียงใหม่แอร์พอร์ต ครั้งที่ 4 นครราชสีมา จัดขึ้นวันที่ 21-27 มิถุนายน 2566 ณ เซ็นทรัลพลาซ่าโคราช และครั้งที่ 5 ชลบุรี จัดขึ้นวันที่ 29 มิถุนายน - 5 กรกฎาคม 2566 ณ เซ็นทรัลพลาซ่าพัทยา
แก้หนี้ครูต่อเนื่อง หลังสมาชิกมากกว่า 4.6 แสนรายได้รับประโยชน์ หลังสหกรณ์ลดดอกเบี้ยเงินกู้
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า จากปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบที่มีมากถึง 1.4 ล้านล้านบาท ครูกว่าร้อยละ 80 จากทั่วประเทศ 9 แสนคน ต้องเผชิญกับภาวะหนี้สินจำนวนมหาศาล โดยเจ้าหนี้รายใหญ่สุดคือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู 8.9 แสนล้านบาท
ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้ร่วมลงนาม MOU ดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กับหน่วยงานและสถาบันการเงิน รวม 12 แห่ง ซึ่งกรมฯ มีบทบาทหน้าที่ ส่งเสริม สนับสนุน กำกับ ดูแล ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ขณะนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกว่า 70 แห่ง จากทั้งหมด 108 แห่ง เข้าร่วมปรับอัตราดอกเบี้ย โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ และพบว่ามีสหกรณ์ 11 แห่ง สามารถปรับลดดอกเบี้ยให้ลงเหลือต่ำกว่า 5% โดยมีครูที่ได้รับประโยชน์ทันทีกว่า 460,000 คน ทั้งนี้ การให้เงินกู้แก่สมาชิกครู สหกรณ์ออมทรัพย์ครูจะปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการให้เงินกู้ ซึ่งในระเบียบจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ ได้ออกคำแนะนำการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมของสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อให้สหกรณ์ใช้เป็นแนวทางในการให้เงินกู้แก่สมาชิก พร้อมทั้งเป็นเครื่องมือในการแก้่ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิก
ส่วนกรณีที่มีสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ต้องการให้ปรับปรุงข้อบังคับเพื่อให้สมาชิกสามารถถอนหุ้นซึ่งถือว่าเป็นเงินฝากของตนเอง โดยอ้างว่าจะช่วยให้เกิดผลดีต่อระบบสหกรณ์ และจะช่วยลดต้นทุนของสหกรณ์ลงนั้น ขอชี้แจงว่า ในการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สามารถสงวนส่วนแห่งรายได้ของตนไว้ในทางอันมั่นคงและได้รับประโยชน์ตามสมควร อีกทั้งกฎหมายสหกรณ์ก็ประสงค์จะคุ้มครองทุนของสหกรณ์โดยรวมเป็นพิเศษ ซึ่งทุนของสหกรณ์เกิดจากการถือหุ้นโดยสมาชิกและสมาชิกแต่ละรายก็ได้ส่งเงินค่าหุ้นเข้าสหกรณ์เป็นประจำทุกเดือน และกฎหมายสหกรณ์ก็มิได้บัญญัติให้อำนาจแก่สหกรณ์ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเพื่อให้สมาชิกถอนหุ้นได้
JOB EXPO THAILAND 2023 “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีกำหนดจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ภายใต้ธีมงาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน” ระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall 100-102 กรุงเทพมหานคร และใน 3 จังหวัดใหญ่ ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต และนครราชสีมา ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เพื่อสนองความต้องการของประชาชนที่ต้องการมีงานทำ มีอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และประชาชนทุกคนที่ต้องการมีงานทำ
สำหรับงาน JOB EXPO ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ถือเป็นมหกรรมการจัดหางานที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ เพราะมีการรวบรวมตำแหน่งงานทั้งในประเทศและต่างประเทศไว้มากกว่า 500,000 อัตรา และมีไฮไลท์สำคัญอย่างการเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการชั้นนำ เกือบ 400 แห่ง มารับสมัครและสัมภาษณ์ผู้สมัครงานภายในงาน ควบคู่กับการสัมภาษณ์งานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนหางานจากทั่วประเทศที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ รวมทั้งยังรวบรวมงานสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มคนพิการ ทั้งงานประจำที่นายจ้างสถานประกอบการยินดีรับผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และอาชีพอิสระสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการหารายได้เสริมอีกด้วย
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเสริมถึงการงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ว่า นอกจากกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังมองหาโอกาสเปลี่ยนงาน ผู้ว่างงาน นักศึกษาจบใหม่ ยังมีการจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์แห่งพระราชา ศาสตร์แห่งความพอเพียง และโครงการจิตอาสา 904 โคก หนอง นา โมเดล กิจกรรมคนไทยไม่ทิ้งกัน คนหางาน งานหาคน Job Matching กิจกรรม Platform “ไทยมีงานทำ” กิจกรรมรวมใจสร้างงาน สร้างอาชีพ กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำ และกิจกรรมส่งเสริม พัฒนา คุณภาพแรงงาน และกลุ่มเปราะบาง โดยแต่ละกิจกรรมกรมการจัดหางานคิดเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของคนหางานแต่ละกลุ่ม ทั้งผู้ที่ต้องการทำงานเต็มเวลา ทำงานพาร์ทไทม์ หรือต้องการก้าวสู่ Start Up เป็นเจ้าของกิจการของตนเอง และยังเตรียมทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการไปหาประสบการณ์ทำงานต่างประเทศ รวมทั้งงานที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง
สำหรับสถานที่และกำหนดการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ที่กรุงเทพมหานคร กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall 100-102 ขณะที่ในจังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 16-17 มิถุนายน 2566 ณ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา ส่วนที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 23-24 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่จังหวัดนครราชสีมา กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 28-29 มิถุนายน 2566 ณ โคราชฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว